การลดหย่อนภาษีให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายในส่วนค่า ที่พักในโรงแรมที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย มาหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 15,000 บาท
ความสำคัญของการหักภาษี
การลดหย่อนภาษีให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายในส่วนค่า ที่พักในโรงแรมที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย มาหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 15,000 บาท
ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทาง เศรษฐกิจ(กรอ.) ครั้งที่ 4/2553 ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานได้เห็นชอบ เนื่องจากพฤติกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบันมากกว่าร้อยละ 80 เป็นการท่องเที่ยวด้วยตนเอง โดยจะนำเสนอ ครม. พิจารณาในวันนี้( 15 มิ.ย. 53) รวมทั้งมอบหมายกระทรวงแรงงานดำเนินงานการ
ขอรับการสนับสนุนงบประมาณการฝึก อบรมระยะเวลา 2 เดือน ให้แก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการในการศึกษาโครงสร้าง
อาชีพอิสระด้านการท่องเที่ยวที่อยู่นอกระบบประกันสังคม
ที่มาของข่าว
https://norsorpor.com
กล่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
สาระที่ 1 จำนวนและการดำเนินการ
การหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย เป็นวิธีการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาวิธีหนึ่งของผู้มีเงินได้ โดยกฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้ในบางกรณีทำหน้าที่คำนวณหักเงิน ซึ่งตนมีหน้าที่จ่ายให้แก่ผู้รับเงิน
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนดแล้วนำเงินนั้นส่งแก่รัฐบาล เงินที่ได้หักและนำส่งดังกล่าวถือเป็นเครดิตในการเสียภาษีเงินได้ของผู้รับเงินเมื่อถึงกำหนดเวลายื่นรายการเสียภาษี ถ้ากรณีใดไม่มีกฎหมายกำหนด
ให้หักภาษี ผู้จ่ายเงินได้ก็ไม่ต้องหักภาษีแต่อย่างใด
1. วัตถุประสงค์
การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย มีวัตถุประสงค์ดังนี้
(1) เพื่อบรรเทาภาระการเสียภาษีให้แก่ผู้รับเงินได้ ที่จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในคราวเดียวกันเป็นเงินจำนวนมาก เมื่อถึงกำหนดเวลายื่นรายการเสียภาษี แต่ให้เสียภาษีเป็นคราวๆ ไปทีละน้อยตามจำนวนเงินที่ได้รับแต่ละคราว
(2) เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้เข้าคลังอย่างสม่ำเสมอ ทำให้รัฐบาลสามารถใช้จ่ายเงินในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้อย่างราบรื่น อันจะก่อให้เกิดสภาพคล่อง และลดภาวะการเงินตึงตัวในระบบเศรษฐกิจของประเทศ
(3) เพื่อลดแรงกดดันในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร และลดภาระหน้าที่ในการตรวจสอบภาษี หรือการติดตามจัดเก็บภาษีในภายหลัง
2. ผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ได้แก่ บุคคลที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นรายกรณี โดยอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลในรูปใด ห้างหุ้นส่วนสามัญ คณะบุคคลซึ่งไม่ใช่นิติบุคคลก็ได้
ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ ให้แก่ผู้รับเงินได้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) โดยเงินได้ที่จ่ายมิใช่เงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้น
ไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ทั้งนี้กฎหมายอาจกำหนดให้หักภาษี ณ ที่จ่ายเฉพาะกรณีจ่ายเงินได้บางประเภท หรือเฉพาะกรณีจ่ายเงินได้แก่ผู้รับเงินบางประเภทเท่านั้นก็ได้
3. วิธีการคำนวณภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และตัวอย่างการคำนวณ
(1) ตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร
(1.1) กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 และ 2 ไม่ว่าเงินได้ที่จ่ายจะเป็นเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดๆ ที่อาจคำนวณได้เป็นเงิน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส บำเหน็จ บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า เบี้ยประชุม
เงินที่ออกให้เป็นค่าภาษีเงินได้ การให้อาหารรับประทานโดยไม่คิดมูลค่า หรือการได้อยู่บ้านของนายจ้าง หรือผู้จ่ายเงินได้โดยไม่เสียค่าเช่า เป็นต้น
การคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ให้คูณเงินได้พึงประเมินด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายเพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีแล้วคำนวณภาษี ในทำนองเดียวกับการคำนวณภาษีสิ้นปี ตามหัวข้อ 6 โดยหัก
ค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ ออกก่อน เหลือเงินได้สุทธิเท่าใดจึงนำไปคิดภาษีตามบัญชีอัตราภาษี ได้เงินภาษีจากเงินได้สุทธิทั้งสิ้นเท่าใด ให้หารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักภาษีไว้จำนวนเท่านั้น
ถ้าการหารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายตามความในวรรคก่อนไม่ลงตัว เหลือเศษเท่าใดให้เพิ่มเงินเท่าจำนวนที่เหลือเศษนั้นรวมเข้ากับเงินภาษีที่จะต้องหักไว้ครั้งสุดท้ายในปีนั้น เพื่อให้ได้ยอดเงินภาษีที่หักรวมทั้งปีเท่ากับจำนวนภาษีที่จะต้องเสียทั้งปี
ในกรณีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 2 นอกจากที่ระบุใน(1.2) ดังจะกล่าวต่อไป ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้
นอกจากนี้ กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินที่คนต่างด้าวได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ให้หักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้ เมื่อคำนวณตามมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีในอัตราสูงกว่าร้อยละ 15.0 ของเงินได้ (พรบ.405)
ข้อสังเกต
กรณีจ่ายเงินได้พึงประเมินเป็นรายเดือน เดือนละเท่าๆกัน ตลอดปีภาษี ตามข้อสังเกต 1(1) (2) (3) ปีภาษีนี้ นาย ก. ได้รับเงินเดือน ๆ ละ 30,000 บาท นาย ก. ได้แจ้งสถานะการหักลหย่อนไว้ ดังนี้
มีภริยาชอบด้วยกฎหมาย แต่ภริยาไม่มีเงินได้ และมีบุตรผู้เยาว์กำลังศึกษา 2 คน ต้องจ่ายประกันชีวิต จำนวน 16,000 บาท และ ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านฯ ที่เข้าหลักเกณฑ์ รวมทั้งปี จำนวน 30,000 บาท ผู้จ่ายเงินได้ ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแต่ละเดือน ดังนี้
วิธีคำนวณ หน่วย:บาท
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 30,000 X 12 = 360,000
หัก ค่าใช้จ่าย (40% ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย 300,000
หัก ค่าลดหย่อนส่วนตัว 30,000
ค่าลดหย่อนคู่สมรส 30,000
ค่าลดหย่อนบุตรศึกษา 2 คน 34,000
ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต 16,000
ค่าลดหย่อนและยกเว้นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมฯ 30,000 = 140,000
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 160,000
ภาษีเงินได้ทั้งปี (100,000 ได้รับยกเว้น) + (60,000 X 10 %) = 6,000
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแต่ละเดือน 6,000/12 = 500
1. คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.96/2543 ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ไม่รวมถึงเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียว เพราะเหตุออกจากงาน ให้ปฏิบัติดังนี้
(1)ให้คำนวณหาจำนวนเงินได้พึงประเมินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี โดยให้นำเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่ละ
คราวคูณด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย (ต่อปี) กล่าวคือ
กรณีจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือน ให้คูณด้วย 12
กรณีจ่ายค่าจ้างเดือนละ 2 ครั้ง ให้คูณด้วย 24
กรณีจ่ายค่าจ้างเป็นรายสัปดาห์ ให้คูณด้วย 52
การจ่ายเงินได้พึงประเมินให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเข้าทำงานระหว่างปี ให้คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่ละคราวในปีที่
เข้าทำงานด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายจริงสำหรับปีนั้น เช่น เข้าทำงานวันที่ 1 เมษายน และกำหนดจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือน จำนวนคราวที่จะต้องจ่ายสำหรับปีที่เข้าทำงานจะเท่ากับ 9
(2) ให้นำจำนวนเงินได้พึงประเมินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีตาม(1) มาคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือ นำมาหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน และคำนวณภาษีตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา เป็นเงินภาษีทั้งสิ้น
การคำนวณหักค่าลดหย่อน ให้คำนวณตามที่ผู้มีเงินได้ได้แจ้งไว้พร้อมกับแนบสำเนาหลักฐานแสดงสิทธิในค่าลดหย่อนตามแบบ ล.ย.01( แบบแจ้งรายการเพื่อการหักลดหย่อน) ทั้งนี้ ให้คำนวณหักค่าลดหย่อนได้ตามที่ผู้มีเงินได้ได้แจ้งไว้ตั้งแต่ต้นปีที่เริ่มหักภาษี ณ ที่จ่าย
ไม่ว่าจะจ่ายค่าลดหย่อนนั้นในเดือนใดของปีก็ตาม เว้นแต่ค่าลดหย่อนเงินบริจาคให้คำนวณหักได้เมื่อมีการจ่ายเงินบริจาคจริงเท่านั้น
กรณีผู้มีเงินได้ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงรายการค่าลดหย่อนระหว่างปี ให้คำนวณหักค่าลดหย่อนตามที่ผู้มีเงินได้ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงนั้น
(3) ได้นำจำนวนเงินภาษีทั้งสิ้นที่คำนวณได้ตาม (2) มาหารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย(ต่อปี) ตาม (1) ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษี ณ ที่จ่าย ในแต่ละคราวที่จ่ายเงินนั้น
ถ้าการหารด้วยจำนวนคราวไม่ลงตัวเหลือเศษเท่าใด ให้เพิ่มเงินเท่าจำนวนที่เหลือเศษนั้นรวมกับเงินนภาษีที่จะต้องหักไว้ครั้งสุดท้ายในปีนั้น เพื่อให้ยอดเงินภาษีที่หักรวมทั้งปีเท่ากับจำนวนภาษีที่ต้องเสียทั้งปี
(4) กรณีมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินได้พึงประเมินที่จ่ายระหว่างปี ให้คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายใหม่ทุกคราว ตามวิธีการตาม (1)-(3)
(5) กรณีมีการจ่ายเงินพิเศษเป็นครั้งคราวระหว่างปี เช่น ค่าล่วงเวลา เงินโบนัส ให้นำเงินพิเศษนั้นคูณด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย (ต่อปี) เพื่อหาจำนวนเงินพิเศษเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีและให้นำมารวมเข้ากับเงินได้ พึงประเมินที่จ่ายตามปกติที่คำนวณได้เสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี แล้วคำนวณภาษีใหม่ตามที่กล่าวตาม (2) เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้นำภาษีที่คำนวณจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามปกติทั้งปี (ก่อนจ่ายเงินพิเศษ) หักออกได้ผลลัพธ์เป็นเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินเพิ่มพิเศษซึ่งจ่ายเป็นครั้งคราวนั้น แล้วให้นำมารวมกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินที่จ่ายตามปกติในคราวนั้น ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเงินภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่าย ทั้งสิ้นในคราวที่มีการจ่ายเงินพิเศษนั้น
(6) กรณีมีการจ่ายเงินได้พึงประเมินที่ไม่สามารถคำนวณหาจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายต่อปี เช่น ค่าล่วงเวลา ให้คำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่ละคราวตามเกณฑ์ในมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษีนำส่งไว้เท่านั้น หากคำนวณแล้วไม่มีเงินภาษีที่ต้องเสียก็ไม่ต้องหักในปีเดียวกันนี้ ถ้ามีการจ่ายเงินได้พึงประเมินให้ผู้รับรายเดียวกันนี้อีก ให้นำเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในครั้งแรกมารวมกับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในครั้งที่สอง แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร เช่นเดียวกับการคำนวณครั้งแรก หากคำนวณแล้วไม่มีภาษีที่ต้องเสียก็ไม่ต้องหัก ถ้าได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้นำเงินภาษีที่หักและนำส่งไว้แล้ว(ถ้ามี)มาเครดิตออก เหลือเท่าใดจึงหักเป็นเงินภาษีและนำส่งไว้เท่านั้น ถ้ามีการจ่ายเงินได้พึงประเมินในครั้งที่สามและครั้งต่อๆ ไป ก็ให้คำนวณตามวิธีดังกล่าวนี้ทุกครั้งไป
(7) กรณีนายจ้างออกเงินค่าภาษีแทนให้ลูกจ้างสำหรับเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในปีใดโดยลูกจ้างไม่ต้องรับภาระในการเสียภาษีด้วยตนเองเลย ให้นำเงินค่าภาษีที่นายจ้างออกแทนให้ไปรวมกับเงินเดือน หรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในปีนั้น แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร จนกว่าจะไม่มีเงินค่าภาษีที่นายจ้างต้องออกแทนให้อีก
(8) กรณีนายจ้างออกเงินค่าภาษีแทนให้ลูกจ้าง สำหรับเงินเดือนหรือค่าจ้างเป็นจำนวนที่แน่นอน เช่น เท่ากับจำนวนภาษีที่จะต้องชำระ ให้นำเงินค่าภาษีที่นายจ้างออกแทนให้ไปรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในปีนั้น แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร
อ้างอิง
www.pattanakit.net/
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=2748