สภาพเศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น


2,041 ผู้ชม


นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ การเก็บภาษี การติดต่อค้าขายในสมัยกรุงนัตนโกสินทร์ (ร.1- ร.3)   

 เศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

                


          สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องจากเป็นช่วงระยะของการก่อร่างสร้างตัวและไทยยังต้องทำสงครามกับพม่าอีก ซึ่งทำให้ฐานะของประเทศไม่มั่นคงนัก พระองค์จึงสนับสนุนให้ทำการค้ากับต่างประเทศ เช่น จีนและโปรตุเกส
      ตั้งแต่ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของประเทศนับว่าฟื้นตัวขึ้นมาจากเดิมมาก การเกษตรซึ่งเป็นอาชีพหลักของประชาชนในช่วงระยะนี้ ขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับการค้ากับต่างประเทศ  รายได้สำคัญของรัฐบาลสามารถแบ่งได้ 2 ทาง คือ


    1.  รายได้จากการค้ากับต่างประเทศ
               กรุงเทพฯ นับว่าอยู่ในทำเลที่เหมาะสมในการติดต่อค้าขายทางเรือ เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากปากทะเล ในสมัยรัชกาลที่ 2 พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาได้ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3) ซึ่งทรงบังคับบัญชากรมท่า มีบทบาทในการส่งเสริมการค้าโดยเฉพาะกับจีน จนสมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงเรียกพระนามว่า "เจ้าสัว"  ต่อมาเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างจริงจัง การค้าขายกับต่างประเทศจึงขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าใน 2 รัชกาลแรก
           รายได้จากการค้ากับต่างประเทศที่สำคัญ สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้คือ
                    (1)  การค้าสำเภาหลวง   พระคลังสินค้า ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐขึ้นอยู่กับพระคลัง (พระยาโกษาธิบดี) มีหน้าที่รับผิดชอบในการแต่งเรือสำเภาหลวงบรรทุกสิ่งของที่เป็นส่วย เช่น ดีบุก พริกไทย ครั่ง ขี้ผึ้ง ไม้หอม ฯลฯ  รวมทั้งสินค้าอื่น ๆ ที่จัดซื้อหาเพิ่มเติมออกไปค้าขายกับจีนและประเทศใกล้เคียง เช่น เขมร ญวน และมลายู แล้วรับซื้อสินค้าต่างประเทศที่ต้องการใช้ภายในประเทศ เช่น ผ้า ถ้วยชาม มาจำหน่ายแก่ประชาชนอีกต่อหนึ่ง ผลกำไรจากการค้าสำเภาหลวงนับเป็นรายได้ที่สำคัญยิ่งของแผ่นดินในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
                    (2)  กำไรจากการผูกขาดสินค้า   พระคลังสินค้ามีหน้าที่ควบคุมการค้ากับต่างประเทศ เช่นในสมัยอยุธยา โดยผูกขาดสินค้าบางอย่าง เช่น รังนก ฝาง ดีบุก งาช้าง พริกไทย เนื้อไม้ ตะกั่ว และพลวง  เป็นสินค้าผูกขาดของหลวง  ราษฎรผู้ใดมีสินค้าดังกล่าว ให้นำมาขายแก่พระคลังสินค้า เท่านั้น  ห้ามเอกชนซื้อขายกับพ่อค้าต่างชาติโดยตรง  ถ้าชาวต่างประเทศต้องการซื้อสินค้าเหล่านี้ จะต้องซื้อผ่านพระคลังสินค้า ซึ่งทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลาง
                    (3)  ภาษีปากเรือ   เป็นค่าธรรมเนียม ซึ่งเก็บจากเรือสินค้าของชาวต่างประเทศที่เข้ามาจอดในเมืองท่าของไทย  กำหนดเก็บภาษีตามส่วนกว้างที่สุดของเรือ  โดยคิดอัตราภาษีเป็นวาและเรียกเก็บในอัตราที่ต่างกัน เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 2 เรือของจีนเสียวาละ 40 บาท เรือกำปั่นฝรั่ง เสียวาละ 118 บาท  ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 3  เมื่อไทยทำสนธิสัญญาเบอร์นีกับอังกฤษ ใน พ.ศ. 2369 ได้มีข้อตกลงว่ารัฐบาลไทยจะเก็บภาษีจากพ่อค้าอังกฤษรวมเป็นอย่างเดียวตามความกว้างของปากเรือ  เรือสินค้าที่บรรทุกสินค้ามาขาย เก็บวาละ 1,700 บาท  ส่วนเรือที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าเข้ามาขาย เก็บวาละ 1,500 บาท
                    (4)  ภาษีสินค้าขาเข้า   เก็บจากสินค้าที่พ่อค้าต่างประเทศนำเข้ามาจำหน่าย เช่น ผ้าฝ้าย  ผ้าแพรจีน  เครื่องแก้ว  เครื่องลายคราม  ใบชา  อัตราการเก็บไม่แน่นอน  ยืดหยุ่นตามความเหมาะสม  เช่น  เรือของประเทศที่มีสัมพันธไมตรีเข้ามาค้าขายเป็นประจำ จะได้รับสิทธิพิเศษ ในสมัยรัชกาลที่ 2  เรือสินค้าของชาวจีนเสียภาษีสินค้าขาเข้าร้อยละ 4 ถ้าเป็นเรือสินค้าของชาติตะวันตก เสียภาษีร้อยละ 8 ของราคาสินค้า
                    (5)   ภาษีสินค้าขาออก   เก็บจากสินค้าที่ส่งออกในอัตราที่ต่างกันไปตามชนิดของสินค้า  เช่น  ในสมัยรัชกาลที่ 2 รังนกนางแอ่นกับเขากวางอ่อน  เสียภาษีร้อยละ 20 ของราคาสินค้า  งาช้างหาบละ 10 สลึง  เกลือเกวียนละ 4 บาท  หนังวัว  หนังควาย  กระดูกช้าง หาบละ 1 บาท


    2.  รายได้ภายในประเทศ
               ส่วนใหญ่คงเป็นแบบเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายและสมัยกรุงธนบุรี  รัฐบาลมีรายได้จากการเก็บภาษีอากร แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
                    (1)   จังกอบ   หมายถึง  ภาษีสินค้าผ่านด่านทั้งทางบกและทางน้ำ  โดยการเก็บตามสัดส่วนสินค้าในอัตรา 10 หยิบ 1  หรือเก็บเงินตามขนาดของยานพาหนะที่ขนสินค้าผ่านด่าน ส่วนใหญ่วัดตามความกว้างที่สุดของปากเรือ
                    (2)   อากร   เป็นเงินที่เก็บจากผลประโยชน์ที่ราษฎรได้จากการประกอบอาชีพต่าง ๆ ที่ไม่ใช่การค้าขายโดยตรง เช่น การทำนา ทำสวน หรือเงินที่พ่อค้าเสียให้แก่รัฐบาลในการให้สัมปทานการประกอบการต่าง ๆ เช่น การให้เก็บของป่า การต้มสุรา อัตราที่เก็บประมาณ 1 ใน 10 ของผลประโยชน์ที่ราษฎรทำมาหาได้
                    (3)   ส่วย   เป็นเงินหรือสิ่งของที่ไพร่หลวงที่ไม่ต้องการเข้าเวรรับราชการส่งมาให้รัฐแทนการเข้าเวรรับราชการ  โดยรัฐเป็นผู้กำหนดว่าให้ไพร่หลวงต้องเข้าเวรภายใน 3 เดือน  ผู้ใดไม่ต้องการจะเข้าเวร  จะต้องเสียเป็นเงินเดือนละ 6 บาท
                    (4)   ฤชา   เป็นเงินค่าธรรมเนียมที่รัฐเรียกเก็บจากราษฎร  ในกิจการที่ทางราชการจัดทำให้  เช่น  การออกโฉนด  เงินปรับสินไหม ที่ฝ่ายแพ้จะต้องชดใช้ให้แก่ฝ่ายชนะ  รัฐก็จะเก็บไปครึ่งหนึ่งเป็นค่าฤชา  เรียกว่า  "เงินพินัยหลวง"

               นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับปรุงภาษีบางอย่างเพิ่มขึ้นจากเดิม ในสมัยรัชกาลที่ 2 และ รัชกาลที่ 3  ที่สำคัญ ๆ มีดังนี้                



               ในสมัยรัชกาลที่ 2 มีการปรับปรุงภาษี ดังนี้
                    การเดินสวน  คือ  การให้เจ้าพนักงานที่ได้รับการแต่งตั้งออกไปสำรวจเรือกสวนของราษฎรว่าได้จัดทำผลประโยชน์ในที่ดินมากน้อยเพียงใด แล้วออกหนังสือสำคัญให้เจ้าของถือไว้เพื่อเป็นหลักฐานการเสียภาษีอากร  ซึ่งการจัดแบ่งภาษีการเดินสวนจัดแบ่งตามประเภทของผลไม้
                    การเดินนา  คือ  การให้เจ้าพนักงานออกไปสำรวจที่นาของราษฎร  แล้วออกหนังสือสำคัญให้เจ้าของถือไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการเสียภาษีอากรที่เรียกว่า "หางข้าว"  คือ การเก็บข้าวในอัตราไร่ละ 2 ถัง และต้องนำไปส่งที่ฉางหลวงเอง
                    เงินค่าผูกปี้ข้อมือจีน   เดิมชาวจีนได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์แรงงานในขณะที่ราษฎรไทยที่เป็นไพร่และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยต้องถูกสักข้อมือเป็นไพร่และต้องทำงานให้แก่มูลนายและพระเจ้าแผ่นดิน  รัฐบาลไทยในสมัยรัชกาลที่ 2 เห็นควรที่จะได้ใช้ประโยชน์จากแรงงานจีน จึงได้พิจารณาเก็บเงินค่าราชการจากชาวจีน 1 บาท 50 สตางค์ ต่อ 3 ปี   จีนที่มาเสียค่าแรงงานแล้ว จะได้รับใบฎีกาพร้อมกับได้รับการผูกปี้ข้อมือด้วยไหมสีแดงประทับตราด้วยครั่งเป็นตราประจำเมือง ซึ่งแตกต่างกันออกไป เช่น เมืองเพชรบุรีเป็นรูปหนู  กาญจนบุรี เป็นรูปบัว   การผูกปี้ข้อมือจีนนี้ เริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้เป็นประเพณีปฏิบัติสืบมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีพระราชบัญญัติลักษณะการผูกปี้ข้อมือจีน พ.ศ. 2443 ออกใช้บังคับทั่วทุกมณฑล และได้ยกเลิกไปในตอนปลายรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 2451
               ในสมัยรัชกาลที่ 3  มีการเก็บภาษีอากรเพิ่มขึ้นหลายชนิด  เช่น  ภาษีพริกไทย  น้ำตาล  เป็นต้น  ในสมัยนี้มีระบบการเก็บภาษีแบบใหม่เกิดขึ้น  เรียกว่า  "ระบบเจ้าภาษีนายอากร"  หมายถึง  การที่รัฐเปิดประมูลการเก็บภาษี  ผู้ชนะการประมูล คือ ผู้ที่เสนอผลประโยชน์สูงสุดให้แก่รัฐบาล  มีอำนาจไปดำเนินการเก็บภาษีแทนรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง  ผู้ที่ประมูลภาษี เรียกว่า "เจ้าภาษีนายอากร"  ส่วนมากเป็นชาวจีนผู้มีฐานะดีทางเศรษฐกิจจากการลงทุนค้าขาย  ผลดีของระบบเจ้าภาษีนายอากร คือ รายได้จากการเก็บภาษีอากรได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น  แต่มีข้อเสีย คือ เป็นระบบผูกขาดที่ให้แก่ชาวจีนเป็นส่วนใหญ่ และอาจจะมีการขูดรีดภาษีจากราษฎรได้


ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกของไทยในสมัยรัชกาลที่ 1-3
     การค้ากับต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ 1   ทำการค้าสำเภา  ส่วนใหญ่จะทำการค้ากับจีน  นอกจากนี้  ยังมีชวา  มลายู  อินเดีย  ดังนั้น  เพื่อความสะดวกในการค้า จึงทรงแต่งตั้งชาวจีนให้ดำรงตำแหน่งขุนนาง  เป็นพระยาโชฎึกราชเศรษฐี  ตำแหน่งเจ้ากรมท่าซ้าย เพื่อติดต่อการค้ากับจีน และทรงแต่งตั้งผู้นับถือศาสนาอิสลามให้เป็นพระยาจุฬาราชมนตรี  ตำแหน่งกรมท่าขวา เพื่อติดต่อการค้ากับมลายู ชวา อินเดีย และอาหรับ
     การค้ากับต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ 2   ได้มีการจัดสำเภาไทยไปค้าขายกับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียกว่าร้อยลำ  นอกจากนั้น  ก็ทำการค้ากับชาวตะวันตก  เช่น  โปรตุเกส  อังกฤษ  สหรัฐอเมริกา  ฮอลันดา  ซึ่งกิจการการค้าของหลวงนั้น  พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3)  ทรงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญจนได้รับพระราชทานสมญานามว่า "เจ้าสัวกรมท่า"  ในสมัยนี้ อังกฤษได้ส่งจอห์น  ครอว์เฟิร์ด  เข้ามาเจรจาเรื่องการค้ากับไทย ขอให้ยกเลิกการผูกขาดพระคลังสินค้า และให้กำหนดภาษีขาเข้าและขาออกให้แน่นอน แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้
     การค้ากับต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ 3   ในสมัยนี้  อังกฤษได้ส่งร้อยเอกเฮนรี เบอร์นี  เข้ามาเจรจาทำสนธิสัญญาเบอร์นีกับไทย  โดยมีใจความสำคัญ ดังนี้
          (1)  อนุญาตให้พ่อค้าไทยและอังกฤษติดต่อการค้าได้โดยเสรี  แต่สินค้าอาวุธพ่อค้าต้องขายให้รัฐบาลไทยเท่านั้น
          (2)  การเก็บภาษีปากเรือให้เก็บตามความกว้างของปากเรือ  ถ้าเรือมีสินค้า เก็บวาละ 1,700 บาท  ถ้าเรือไม่มีสินค้า เก็บวาละ 1,500 บาท
          (3)  พ่อค้าจะต้องทอดสมอเรือสินค้าที่ปากน้ำเจ้าพระยา  เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไทยตรวจบัญชีค้นสินค้า  และนำสินค้าอาวุธเก็บรักษาไว้ จึงจะอนุญาตให้เข้าไปได้
          (4)  คนอังกฤษทุกคน ต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยทุกประการ  ถ้าทำความผิดจะถูกลงโทษตามกฎหมาย  การทำสนธิสัญญาครั้งนี้ยังไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายอังกฤษ  อังกฤษจึงพยายามแก้ไขสนธิสัญญา โดยการส่ง เซอร์ เจมส์ บรูค  เข้ามาเจรจาใน พ.ศ. 2383 แต่ไม่สำเร็จ

ประเด็นอภิปราย
     ระบบเจ้าภาษี นายอากร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
     ระบบพระคลังสินค้า่ มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
แหล่งอ้างอิง
https://www.ben2.ac.th/
 
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=1548

อัพเดทล่าสุด