ภัยร้ายที่มากับการเล่นน้ำทะเล...หาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง
เตือนภัย ...ระวังทะเลดูด
นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า การเล่นน้ำทะเลในช่วงปลายฤดูฝน ซึ่งสภาพอากาศมีความแปรปรวน ทำให้เกิดฝนตกหนักพายุลมแรง และคลื่นในทะเลสูงกว่าปกติส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการจมน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าช่วงปกติ เนื่องจากในช่วงฤดูฝนของทุกปี มักมีผู้เสียชีวิตจากการถูกคลื่นดูดลงไปใต้ท้องทะเล ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า Rip Current เนื่องจากกระแสน้ำมีความแปรปรวนและทะเลมีคลื่นสูง ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง บริเวณชายทะเลหาดเจ้าสำราญ จังหวัดเพชรบุรี และหาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว มักเกิดขึ้นหลังจากฝนตกหนักและในวันที่คลื่นทะเลมีความปั่นป่วน โดยมีสาเหตุจากกระแสน้ำทะเลที่พัดเข้ามาในแนวตั้งฉากกับชายฝั่งแล้วม้วนกลับออกไปในทะเล โดยอาจมีแนวหินปะการัง หรือสิ่งปลูกสร้างใต้น้ำกีดขวางการไหลย้อนกลับของคลื่น ทำให้เกิดคลื่นม้วนตัวกลับสู่ท้องทะเล ส่งผลให้ผู้เล่นน้ำทะเลในบริเวณดังกล่าวถูกคลื่นซัดจมน้ำเสียชีวิต
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงขอเตือนนักท่องเที่ยวที่เล่นน้ำทะเลในช่วงฤดูฝนหรือภายหลังฝนหยุดตก ให้เพิ่มความระมัดระวังมากกว่าช่วงปกติ โดยก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวควรศึกษาสภาพอากาศของแหล่งท่องเที่ยว หากมีคำเตือนเกี่ยวกับพายุลมแรง ให้งดหรือเลื่อนการเดินทางออกไป ตรวจสอบสภาพความปลอดภัยของแหล่งท่องเที่ยว และเลือกเล่นน้ำในบริเวณที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการเลนน้ำบริเวณน้ำลึก บริเวณที่มีคลื่นลมแรงและบริเวณที่มีโขดหินอย่างเด็ดขาด
โดยสามารถสังเกตได้จากธงที่ปักไว้แสดงระดับความลึกของน้ำ ถ้าเป็นธงสีเขียวสามารถลงเล่นน้ำได้ หากเป็นธงสีแดง ๒ อัน แสดงว่า พื้นที่นั้นอันตรายมาก ไม่ควรลงเล่นน้ำอย่างเด็ดขาด รวมทั้งใส่เสื้อชูชีพเล่นน้ำทุกครั้ง ไม่เล่นน้ำตามลำพัง เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดคิด จะทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้ปลอดภัยได้ ตลอดจนไม่ลงเล่นน้ำทะเลในช่วงที่ฝนตกหนักหรือในวันที่คลื่นทะเลปั่นป่วน ที่สำคัญ ผู้ปกครองต้องดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด หากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที กรณีที่เล่นน้ำแล้วถูกกระแสคลื่นน้ำทะเลดูด ให้ว่ายน้ำเลี่ยงจากจุดที่น้ำดูด อย่าพยายามว่ายเข้าหาฝั่งในทันที ให้ว่ายสวนหรือว่ายขวางกระแสน้ำ โดยว่ายไปในแนวระนาบขนานกับชายฝั่ง จะช่วยให้รอดพ้นจากการถูกน้ำทะเลดูดจนเสียชีวิตได้ สุดท้ายนี้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการท่องเที่ยวทะเลในช่วงฤดูฝน นักท่องเที่ยวต้องปฏิบัติตามป้ายประกาศเตือนที่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ติดไว้อย่างเคร่งครัด และรับฟังประกาศแจ้งเตือนของเจ้าหน้าที่ หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน จะสามารถหาวิธีหลบหนีจากภัยพิบัติได้ทันท่วงที ที่มา :ไทยพีอาร์เนต
ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหา ทะเลดูด (Rip Current)
ทะเลดูด คือ กระบวนการเคลื่อนย้ายทราบไปตามชายฝั่ง เกิดจาการที่คลื่นกระทบฝั่งเป็นมุมเฉียง ทำให้เกิดจะงอย ตามปากแม่น้ำหรือเป็นสันทรายตามชายฝั่ง เมื่อมวลน้ำไม่มีที่จะไปตามชายฝั่งก็จะไหลออกนอกชายฝั่งเป็นก้อนมวลน้ำที่ไหลตั้งฉากกับชายฝั่ง
ประเทศไทย มีอาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) กว่า 350,000 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของอาณาเขตทางบกที่มีอยู่ประมาณ 513,000 ตารางกิโลเมตร ความยาวของชายฝั่งทะเลรวมฝั่งอ่าวไทยและอันดามันกว่า 2,815s กิโลเมตร ใน 23 จังหวัด | |||||||||||||||||
น่านน้ำภายใน (Internal Water) คือ น่านน้ำทางด้านแผ่นดินของเส้นฐาน (baselines) แห่งทะเลอาณาเขต (อนุสัญญาฯ ข้อ 8 วรรคหนึ่ง) เช่น อ่าว แม่น้ำ ปากแม่น้ำ ทะเลสาบ เป็นต้น รัฐชายฝั่งย่อมมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือน่านน้ำภายใน (อนุสัญญาฯ ข้อ 2) ในทำนองเดียวกับที่รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน (territory)ดังนั้นหากเรือต่างชาติหรืออากาศยานต่างชาติจะผ่านเข้ามาในเขตน่านน้ำภายในของรัฐชายฝั่ง เรือต่างชาติหรืออากาศยานต่างชาตินั้นจะต้องขออนุญาตรัฐชายฝั่งก่อน ได้แก่พื้นที่ ที่แสดงด้วยสีเขียวทั้งหมด ซึ่งอยู่ด้านในถัดจากเส้นฐาน ไปถึงฝั่ง มีอยู่ 5 บริเวณ อ่าวประวัติศาสตร์ ได้แก่พื้นที่บริเวณอ่าวไทยรูปตัว ก. เหนือเส้นฐานที่กำหนดขอบเขตอ่าวประวัติศาสตร์บริเวณที่ 1 ได้แก่พื้นที่บริเวณแหลมลิง ถึงหลักเขตแดนไทย-เขมรบริเวณที่ 2 ได้แก่พื้นที่บริเวณตั้งแต่แหลมใหญ่ ถึงแหลมหน้าถ้ำบริเวณที่ 3 ได้แก่พื้นที่บริเวณตั้งแต่ เกาะภูเก็ต ถึง พรมแดนไทย-มาเลเซีย เชื่อมเส้นฐานตรงและน่านน้ำภายใน ของประเทศไทยบริเวณที่ 4 ได้แก่พื้นที่บริเวณตั้งแต่เกาะกงออก ถึง พรมแดนไทย-มาเลเซียทะเลอาณาเขต(Territorial Sea) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ได้กำหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตว่าต้องไม่เกิน 12 ไมล์ทะเลโดยวัดจากเส้นฐาน (baselines) ได้แก่ พื้นที่ที่แสดงด้วยสีเหลือง ซึ่งรัฐชายฝั่งเป็นผู้กำหนดตามหลักเกณฑ์แห่งกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขตของตน ซึ่งหมายความรวมถึงอำนาจอธิปไตยในห้วงอากาศ (air space) เหนือทะเลอาณาเขต และอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นดินท้องทะเล (sea-bed) และดินใต้ผิวดิน (subsoil) แห่งทะเลอาณาเขตด้วย (อนุสัญญาฯ ข้อ 2 (1) และ (2) ) โดยมีข้อยกเว้นในการใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐชายฝั่งเหนือทะเลอาณาเขต คือ “การใช้สิทธิการผ่านโดยสุจริต” (right of innocent passage) ของเรือต่างชาติในทะเลอาณาเขตของรัฐชายฝั่ง (อนุสัญญาฯ ข้อ 17)เขตต่อเนื่อง(Contiguous Zone) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลปี ค.ศ. 1982 กำหนดให้เขตต่อเนื่องมิอาจขยายเกินกว่า 24 ไมล์ทะเล จากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต (อนุสัญญาฯ ข้อ 33 วรรคสอง) ได้แก่ พื้นที่ที่แสดงด้วยสีน้ำเงิน รัฐชายฝั่งอาจดำเนินการควบคุมที่จำเป็นเพื่อป้องกันการฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร (customs) การคลัง (fiscal) การเข้าเมือง (immigration)หรือการสุขาภิบาล (sanitation) ภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขตของตน และลงโทษการฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับดังกล่าว ซึ่งได้กระทำภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขตของตน รัฐชายฝั่งมีหน้าที่ในการคุ้มครองวัตถุโบราณ หรือวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่พบใต้ทะเลในเขตต่อเนื่องเขตเศรษฐกิจจำเพาะ(Exclusive Economic Zone) คือบริเวณที่อยู่เลยไปจากและประชิดกับทะเลอาณาเขต โดยเขตเศรษฐกิจจำเพาะจะต้องไม่ขยายออกไปเลย 200 ไมล์ทะเล จากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต (อนุสัญญาฯ ข้อ 55 และข้อ 57) ได้แก่ พื้นที่ที่แสดงด้วยสีฟ้าและสีม่วง รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเพื่อความมุ่งประสงค์ในการสำรวจ (exploration) และการแสวงประโยชน์ (exploitation) การอนุรักษ์ (conservation) และการจัดการ (management) ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตในน้ำเหนือพื้นดินท้องทะเล (water superjacent to the sea-bed) และในพื้นดินท้องทะเล (sea-bed) กับดินใต้ผิวดิน (subsoil) ของพื้นดินท้องทะเลนั้น และมีสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เกี่ยวกับกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อการแสวงประโยชน์และการสำรวจทางเศรษฐกิจในเขต อาทิเช่น การผลิตพลังงานจากน้ำ (water) กระแสน้ำ (currents)และลม (winds)(อนุสัญญาฯ ข้อ 56 วรรคหนึ่ง (เอ))รัฐชายฝั่งมีสิทธิแต่ผู้เดียว (exclusive rights)ในการสร้างหรืออนุญาตให้สร้าง และควบคุมการสร้างเกาะเทียม (artificial islands)สิ่งติดตั้ง (installations)และสิ่งก่อสร้าง (structures) เพื่อทำการสำรวจ และแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือควบคุมการใช้สิ่งติดตั้งหรือสิ่งก่อสร้างอันอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้สิทธิของรัฐชายฝั่งในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ รัฐอื่นๆ ย่อมมีเสรีภาพในการเดินเรือ (freedom of navigation) การบินผ่าน (freedom of over flight) การวางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล (freedom of the laying of submarine cables and pipelines)ไหล่ทวีป(Continental Shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเล (sea-bed) และดินใต้ผิวดิน (subsoil) ของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตของรัฐตลอดส่วนต่อออกไปตามธรรมชาติ (natural prolongation) ของดินแดนทางบกของตนจนถึงริมนอกของขอบทวีป (continental margin) หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตในกรณีที่ริมนอกของขอบทวีปขยายไปไม่ถึงระยะนั้น (อนุสัญญาฯ ข้อ 76 วรรคหนึ่ง) ในกรณีที่ริมนอกของขอบทวีปสั้นกว่า 200 ไมล์ทะเล ซึ่งเป็นความกว้างของเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ก็ให้ถือว่าไหล่ทวีปมีความกว้างถึง 200 ไมล์ทะเลตามความกว้างของเขตเศรษฐกิจ รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย (sovereign rights)เหนือทรัพยากรธรรมชาติบนและใต้ไหล่ทวีป ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต โดยมีลักษณะพิเศษ 2ประการคือเป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (exclusive rights) กล่าวคือ หากรัฐชายฝั่งไม่สำรวจหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรบนหรือได้ไหล่ทวีปแล้ว รัฐอื่นจะสำรวจหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรบนหรือใต้ไหล่ทวีปโดยมิได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากรัฐชายฝั่งมิได้สิทธิของรัฐชายฝั่งเหนือไหล่ทวีปนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการครอบครอง (occupation) ไม่ว่าอย่างแท้จริงหรือเพียงในนาม หรือกับการประกาศอย่างชัดแจ้งใดๆ กล่าวคือ สิทธิของรัฐชายฝั่งเหนือเขตไหล่ทวีปนั้นเป็นสิทธิที่รัฐชายฝั่งมีอยู่แต่ดั้งเดิม (inherent right) โดยไม่ต้องทำการประกาศเข้ายึดถือเอาแต่อย่างใด รัฐชายฝั่งได้สิทธิอธิปไตยดังกล่าวมาโดยอัตโนมัติทะเลหลวง(High Seas) หมายถึง ทุกส่วนของทะเลซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone) ในทะเลอาณาเขต (territorial sea) หรือในน่านน้ำภายใน (internal waters) ของรัฐ หรือในน่านน้ำหมู่เกาะ (archipelagic waters) ของรัฐหมู่เกาะ (อนุสัญญาฯ ข้อ 86) เป็นที่น่าสังเกตว่า ห้วงน้ำ (water column) และผิวน้ำเหนือไหล่ทวีปที่อยู่นอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะยังคงเป็นเขตทะเลหลวง ถึงแม้ไหล่ทวีปและทรัพยากรบนไหล่ทวีปจะตกอยู่ภายใต้สิทธิอธิปไตย (sovereign rights) ของรัฐชายฝั่งก็ตาม ทะเลหลวงเปิดให้แก่รัฐทั้งปวง ไม่ว่ารัฐชายฝั่ง (coastal states) หรือ รัฐไร้ฝั่งทะเล (landlocked states) เสรีภาพแห่งทะเลหลวงใช้ได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้โดยอนุสัญญาฯ และหลักเกณฑ์อื่น ๆ ของกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิเช่น เสรีภาพในการเดินเรือ (freedom of navigation) เสรีภาพในการบิน (freedom of overflight) เสรีภาพในการทำประมง (freedom of fishing) โดยหน้าที่ประการสำคัญของรัฐต่าง ๆ ที่ทำการประมงในทะเลหลวง คือ ต้องร่วมมือกันเพื่อกำหนดมาตรการในการอนุรักษ์ และจัดการทรัพยากรที่มีชีวิตในท้องทะเลขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูล www.marinepolicy.trf.or.th |
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=1272