นายเชน ฟิตซ์เจอรัล วัย 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ด้านสังคมวิทยาและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย" คอลเลจ ดับลิน" เขาได้เจตนาเข้าไปป้อนข้อมูลผิดๆในเว๊ปไซต์เอนไซโครปิเดียออนไลน์ "วิกิพีเดีย" ซึ่งมีหนังสือพิมพ์หลายฉบับได้นำไปอ้างอิง
หนังสือพิมพ์"เดอะ ไอริช ไทมส์" รายงานเมื่อวันตามเวลาท้องถิ่น โดยอ้างการเปิดเผยของนายเชน ฟิตซ์เจอรัล วัย 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ด้านสังคมวิทยาและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย" คอลเลจ ดับลิน" ที่ว่า เขาได้เจตนาเข้าไปป้อนข้อมูลผิดๆในเว๊ปไซต์เอนไซโครปิเดียออนไลน์ "วิกิพีเดีย" โดยเป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง ระหว่างที่เขากำลังทำวิจัยเกี่ยวกับ"โลกาภิวัฒน์" และรู้สึกช็อคกับผลการทดลอง เพราะพบว่าถ้อยคำอ้างอิงที่เขาแต่งขึ้นเอง แต่ระบุว่าเป็นคำพูดของนายมอริส จาร์ นักแต่งเพลงชาวฝรั่งเศส เจ้าของรางวัลออสการ์ ผู้เสียชีวิตเมื่อเดือนมีนาคม ได้ถูกนำไปใช้อ้างอิงในข่าวมรณะกรรมของนายจาร์ ตามหนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่ในอังกฤษ อินเดีย และออสเตรเลีย
นายฟิตซ์เจอรัลกล่าวว่า เขาได้เลือกโพสต์ข้อความที่เขาแต่งขึ้นเองในเว๊ปไซต์"วิกิพีเดีย" เพราะเห็นว่าเป็นเว๊ปไซต์ที่ได้รับความนิยมจากผู้สื่อข่าว และเป็นเว๊ปไซต์ที่ใครๆก็สามารถเข้าไปแก้ไขหรือโพสต์ข้อความเพิ่มเติมได้ โดยเขาได้เข้าไปโพสต์ในช่วงไม่นานหลังจากนายจาร์เสียชีวิตอ้างว่านายจาร์เคยพูดไว้ว่า " อาจพูดได้ว่าชีวิตของผมเหมือนกับแผ่นซาวแทร็คขนาดยาวแผ่นหนึ่ง ดนตรีคือชีวิตของผม ดนตรีทำให้ผมมีชีวิต เพราะดนตรีจะช่วยให้ผมเป็นที่จดจำไปอีกนานหลังจากเสียชีวิต เมื่อผมเสียชีวิต ในหัวผมจะมีเพลงวอลซ์ที่มีเพียงผมคนเดียวที่ได้ยิน บรรเลงเป็นครั้งสุดท้าย"
นายฟิจซ์เจอรัลยอมรับว่าได้ใช้คงวามระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะตะหนักดีเรื่องจริยธรรมที่จะใช้การเสียชีวิตของคนอื่นในการทดลองทางสังคมของตนเอง โดยเขาได้เลือกแต่งคำพูดของจาร์อย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้บิดเบือนหรือสร้างความเสื่อมเสียให้นายจาร์ เขาคาดว่าคงมีแต่บล๊อคกับเซ๊ปไซต์ต่างๆนำไปอ้างอิง แต่ต้องแปลกใจที่มันถูกใช้โดยหนังสือพิมพ์คุณภาพกระแสหลัก และหลายสัปดาห์หลังจากนั้น ก็ยังไม่มึใครรู้ความจริง ทำให้เขาส่งอีเมล์ถึงหนังสือพิมพ์ที่นำไปใช้ เพื่อแจ้งให้ทราบว่าได้ตีพิมพ์ข้อความที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง พร้อมลบข้อความที่ใส่ไว้ออกจาก"วิกิพีเดีย"
"เดอะ ไอริช ไทมส์" รายงานว่า แม้หนังสือพิมพ์บางฉบับจะถอนคำอ้างอิงผิดๆออกจากเว๊ปไซต์ หรือแก้ไขให้ถูกต้อง แต่ก็ยังมีบล็อก เว๊ปไซต์และหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับที่ยังไม่ได้แก้ไข [ข่าวด่วน Breaking new 7 พค. 2552 07:07 น.]
จากข่าวข้างต้นอ่านแล้วก็ตกใจเหมือนกัน เพราะผู้เขียนชอบใช้บริการของวิกิพีเดียทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จึงยิ่งทำให้มองเห็นว่าการนำเสนอข่าวและความรู้ในทุกวันนี้ต้องใช้วิจารณญาญในการนำข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมาใช้ คงต้องยึด
หลักพระพุทธศาสนาแล้วว่า จงอย่าเชื่อ ใน 10 อย่างต่อไปนี้ 1.อย่าเชื่อ 1.อย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา 2.อย่าได้ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา 3.อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินอย่างนี้ๆ 4.อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา 5.อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา
6.อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน 7.อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ 8. อย่าได้ถือโดยชอบใจว่า ต้องกันลัทธิของตน 9.อย่าได้ถือโดยเชื่อว่า ผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ 10.อย่าได้ถือโดยความนับถือว่า สมณะผู้นี้เป็นครูของเรา [พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 338 ๕.กาลามสูตร (เกสปุตตสูตร) อ้างอิง htts://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=12148)
อารัมภบทมาตั้งนานกลับมาสู่เนื้อหากันก่อนน่ะ (นอกเรื่องทีไรนักเรียนให้ความสนใจมากกว่าเนื้อหาที่ครูจะสอนอีก จริงไหมา!)
2. ประเด็นจากข่าว
2.1 ข้อมูลและสารสนเทศ
2.2 ประเภทของข้อมูล
2.3 วิธีการประมวลผลข้อมูล
2.4 การจัดการสารสนเทศ
3. เนื้อหาสำหรับ กลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4
4. เนื้อเรื่อง
ความหมายของข้อมูลและสารสนเทศ
ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุคคล สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นซึ่งอาจเป็นข้อความ ตัวเลข หรือภาพก็ได้ ข้อมูลควรจะเป็นสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงและเป็นความจริง
สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้
สารสนเทศที่ดีจะต้องได้จากข้อมูลที่ดี คุณสมบัติของข้อมูลที่ดี มีดังนี้
1. ความถูกต้อง หากมีการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วข้อมูลเหล่านั้นเชื่อถือไม่ได้จะทำให้เกิดผลเสียอย่างมาก ผู้ใช้ไม่กล้าอ้างอิง
หรือนำเอาไปใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นเหตุให้การตัดสินใจของผู้บริหารขาดความแม่นยำ และอาจมีโอกาสผิดพลาดได้ โครงสร้าง ข้อมูล ที่ออก แบบต้องคำนึงถึงกรรมวิธีการดำเนินงานเพื่อให้ได้ความถูกต้องแม่นยำมากที่สุด โดยปกติความผิดพลาดของสารสนเทศ ส่วนใหญ่ มาจากข้อมูลที่ไม่มีความถูกต้องซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากคนหรือเครื่องจักร การออกแบบระบบจึงต้องคำนึงถึงในเรื่องนี้
2. ความรวดเร็วและเป็นปัจจุบัน การได้มาของข้อมูลจำเป็นต้องให้ทันต่อความต้องการของผู้ใช้ มีการตอบสนองต่อผู้ใช้ได้ตี ความหมายสารสนเทศได้ทันต่อเหตุการณ์หรือความต้องการ มีการออกแบบระบบการเรียนค้น และรายงานตามผู้ใช้
3. ความสมบูรณ์ ความสมบูรณ์ของสารสนเทศขึ้นกับการรวบรวมข้อมูลและวิธีการทางปฏิบัติด้วย ในการดำเนินการจัดทำ
สารสนเทศต้องสำรวจและสอบถามความต้องการใช้ข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ในระดับหนึ่งที่เหมาะสม
4. ความชัดเจนและกะทัดรัด การจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากจะต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากจึงจำเป็นต้องออกแบบโครงสร้างข้อมูลให้กะทัดรัดสื่อความหมายได้ มีการใช้รกัสหรือย่นย่อข้อมูลให้เหมาะสมเพื่อที่จะจัดเก็บเข้าไว้ในระบบคอมพิว
เตอร์
5. ความสอดคล้อง ความต้องการเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นจึงต้องมีการสำรวจเพื่อหาความต้องการของหน่วยงานและองค์
การ ดูสภาพการใช้ข้อมูล ความลึกหรือความกว้างของขอบเขตของข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการ
ประเภทของข้อมูล
ข้อมูลสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ข้อมูลปฐมภูมิ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลโดยตรง เช่น ข้อมูลที่ได้จากการสอบถามโดยตรง การสัมภาษณ์ การสำรวจ การจดบันทึก เช่น การสอบถามอายุของเพื่อน ข้อมูลที่ได้จากเครื่องจักรอัตโนมัติ ได้แก่ เครื่องอ่านรหัสแท่ง เครื่องอ่านเครื่องหมายบนกระดาษ
2. ข้อมูลทุติยภูมิ เป็นข้อมูลที่ได้จากข้อมูลที่มีผู้อื่นรวบรวมไว้ให้แล้ว ผู้ใช้ข้อมูลไม่จำเป็นต้อง ไปสำรวจเอง เช่น ข้อมูลสถิติต่าง ที่หน่วยงานรัฐบาลทำไว้แล้ว เช่น สถิตจำนวนประชากร สถิติการส่งสินค้าออก สถิติการนำสินค้าเข้า ข้อมูลเหล่านี้มีการตีพิมพ์เผยแพร่เพื่อให้นำไปใช้งาน ได้ต่อไป
การประมวลผลข้อมูล
การประมวลผลข้อมูล คือ การนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อแปรสภาพข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ต้องการ ที่เรียกว่า "สารสนเทศ "
วิธีการประมวลผล จำแนกได้ 3 วิธี
1. การประมวลผลด้วยมือ (Manual Data Processing) เช่น ใช้ลูกคิด , เครื่องคิดเลข การประมวลผลแบบนี้เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่มีปริมาณข้อมูลไม่มากนัก และการคำนวณไม่ยุ่งยากซับซ้อน
2. การประมวลผลด้วยเครื่องจักร (Mechanical Data Processing) เช่น เครื่องทำบัญชีด้วยบัตรเจาะรู การประมวลผลแบบนี้เหมาะกับธุรกิจขนาดกลาง ที่มีข้อมูปริมาณปานกลาง และต้องการความเร็วในการทำงานปานกลาง
3. การประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Processing) ซึ่งหมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง ลักษณะงานที่เหมาะสมต่อการประมวลผลด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ คือ งานที่มีปริมาณมากๆ ต้องการความถูกต้องรวดเร็ว มีขั้นตอนในการทำงานซ้ำๆ กัน และมีการคำนวณที่ยุ่งยากซับซ้อน
ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูล หรือขั้นตอนให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นเตรียมข้อมูล (Input) : การลงรหัส , การตรวจสอบแก้ไขข้อมูล , การแยกประเภทข้อมูล , การบันทึกข้อมูลลงสื่อ
2. ขั้นการประมวลผล (Processing) : การคำนวณ , การเรียงลำดับข้อมูล , การดึงข้อมูลมาใช้ , การรวมข้อมูล
3. ขั้นการแสดงผลลัพธ์ (Output) : ผลสรุปรายงาน
วิธีการประมวลผล
วิธีการประมวลผล แบ่งตามระยะเวลาออกได้เป็น 2 วิธี
1. การประมวลผลแบบแบทซ์ หรือแบบกลุ่ม (Batch Processing)
เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ระยะเวลาหนึ่งแล้วจึงจะประมวลผลได้ เช่น การคิดเกรด ต้องเก็บรวบรวมคะแนนตั้งแต่ต้นเทอม จนถึงปลายเทอม แล้วจึงทำการรวบรวมประมวลผลได้เป็นเกรดตอนปลายเทอม
2. การประมวลผลแบบเชื่อมตรง (Online Processing)
เป็นการประมวลผลแบบทันทีทันใด ไม่ต้องรอระยะเวลา เช่น การถอนเงินจากเครื่องเอทีเอ็ม ไม่ต้องรอนาน เครื่องจะทำการจ่ายเงินออกมาทันที [อ้างอิงจาก htts://www.ds.ru.ac.th/Test1/Aj_palida/E-learning/Unit2/computer_ITunit2.htm]
ประเภทของข้อมูล
ข้อมูลสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ข้อมูลปฐมภูมิ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลโดยตรง เช่น ข้อมูลที่ได้จากการสอบถามโดยตรง การสัมภาษณ์ การสำรวจ การจดบันทึก เช่น การสอบถามอายุของเพื่อน ข้อมูลที่ได้จากเครื่องจักรอัตโนมัติ ได้แก่ เครื่องอ่านรหัสแท่ง เครื่องอ่านเครื่องหมายบนกระดาษ
2. ข้อมูลทุติยภูมิ เป็นข้อมูลที่ได้จากข้อมูลที่มีผู้อื่นรวบรวมไว้ให้แล้ว ผู้ใช้ข้อมูลไม่จำเป็นต้อง ไปสำรวจเอง เช่น ข้อมูลสถิติต่าง ที่หน่วยงานรัฐบาลทำไว้แล้ว เช่น สถิตจำนวนประชากร สถิติการส่งสินค้าออก สถิติการนำสินค้าเข้า ข้อมูลเหล่านี้มีการตีพิมพ์เผยแพร่เพื่อให้นำไปใช้งาน ได้ต่อไป
การประมวลผลข้อมูล
การประมวลผลข้อมูล คือ การนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อแปรสภาพข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ต้องการ ที่เรียกว่า "สารสนเทศ "
วิธีการประมวลผล จำแนกได้ 3 วิธี
1. การประมวลผลด้วยมือ (Manual Data Processing) เช่น ใช้ลูกคิด , เครื่องคิดเลข การประมวลผลแบบนี้เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่มีปริมาณข้อมูลไม่มากนัก และการคำนวณไม่ยุ่งยากซับซ้อน
2. การประมวลผลด้วยเครื่องจักร (Mechanical Data Processing) เช่น เครื่องทำบัญชีด้วยบัตรเจาะรู การประมวลผลแบบนี้เหมาะกับธุรกิจขนาดกลาง ที่มีข้อมูปริมาณปานกลาง และต้องการความเร็วในการทำงานปานกลาง
3. การประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Processing) ซึ่งหมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง ลักษณะงานที่เหมาะสมต่อการประมวลผลด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ คือ งานที่มีปริมาณมากๆ ต้องการความถูกต้องรวดเร็ว มีขั้นตอนในการทำงานซ้ำๆ กัน และมีการคำนวณที่ยุ่งยากซับซ้อน
ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูล หรือขั้นตอนให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นเตรียมข้อมูล (Input) : การลงรหัส , การตรวจสอบแก้ไขข้อมูล , การแยกประเภทข้อมูล , การบันทึกข้อมูลลงสื่อ
2. ขั้นการประมวลผล (Processing) : การคำนวณ , การเรียงลำดับข้อมูล , การดึงข้อมูลมาใช้ , การรวมข้อมูล
3. ขั้นการแสดงผลลัพธ์ (Output) : ผลสรุปรายงาน (อ้างอิง htts://www.ds.ru.ac.th/Test1/Aj_palida/E-learning/Unit2/computer_ITunit2.htm]
สารสนเทศสามารถแบ่งแยกประเภทออกตามสภาพความต้องการที่จัดทำขึ้นได้ ดังนี้
1. สารสนเทศที่ทำประจำ เช่น การทำรายงานสรุปจำนวนนักเรียนที่มาโรงเรียนในแต่ละวัน รายงานรายรับรายจ่ายประจำวันของโรงเรียน
2. สารสนเทศที่ต้องทำตามกฎหมาย เช่น การทำบัญชีงบดุลของบริษัทที่ต้องยื่นต่อทางราชการ และเพื่อใช้ในการเสียภาษี
3. สารสนเทศที่ได้รับมอบหมายให้จัดทำขึ้นโดยเฉพาะ เช่น รายงานข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ
ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศ
ระบบสารสนเทศเป็นงานที่ต้องใช้ส่วนประกอบหลายอย่าง ในการทำให้เกิดเป็นกลไกในการนำข้อมูล มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ส่วนประกอบที่สำคัญของระบบสารสนเทศมี 5 ส่วน คือ
1. บุคลากร
2. ขั้นตอนการปฏิบัติ
3. เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
4. ซอฟต์แวร์
5. ข้อมูล
5. ตั้งประเด็นคำถามเพื่อนำไปสู่การอภิปรายในห้องเรียน
5.1 เราจะทราบได้อย่างไรว่าข้อมูลที่นักเรียนสืบค้นจากอินเทอร์เน็ตสามารถนำไปใช้ได้เลย
5.2 นักเรียนมีหลักเกณฑ์อย่างไรในการเลือกข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาใช้งาน
6. กิจกรรมเสนอแนะ
6.1 นักเรียนศึกษาข้อมูลตัวอย่างและรายละเอียดเพิ่มเติมจากหนังสือแบบเรียน เทคโนโลยีสารสนเทศ ระดับช่วงชั้น 4-6
6.2 ดาวน์โหลดสื่อการเรียนการสอนมาศึกษาเพิ่มเติมจากเว็บไซต์
7. การบูรณาการกับสาระวิชาอื่นๆ
7.1 สาระการเรียนรุ้ภาษาไทย เรื่องการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ
7.2 สาระการเรียนรู้่วิทยาศาสตร์ การนำข้อมูลมาใช้อย่างมีเหตุและผล
8. อ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล
8.1 KT//breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=378994&lang=&cat=
8.2 htts://www.ds.ru.ac.th/Test1/Aj_palida/E-learning/Unit2/computer_ITunit2.htm
ที่มา : htts://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=360
ใครอ้างอิงข้อมูลจากวิกีพีเดียเข้าอ่านซักนิด