นักศึกษา ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ คว้าแชมป์โลกหุ่นยนต์สมัยที่ 4 นี่น่าจะถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญของ “หุ่นยนต์ไทย”แต่เอาเข้าจริงเราจะก้าวไปได้ถึงไหนยังต้องลุ้น
'สมองไหล'เสียของ!
“องค์การสหประชาชาติเคยประเมินไว้ว่า ปลายปี 2550 หุ่นยนต์จะยิ่งมีบทบาทสูง ทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม ทั่วโลกจะมีหุ่นยนต์รูปแบบต่าง ๆ ในบ้านราว 4.1 ล้านตัว ซึ่งแม้ไทยจะยังมีการใช้งานหุ่นยนต์ไม่สูงเท่าหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องหุ่นยนต์เพื่อให้ทันโลก ซึ่งในการเรียนรู้ก็ต้องพึ่งเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยการสนับสนุนของคนรุ่นเก่า”
...เป็นเนื้อความส่วนหนึ่งจากสกู๊ปเกี่ยวกับ “หุ่นยนต์” ที่ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” นำเสนอไปตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. 2550 และแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้ประเทศไทยก็ได้ชื่อเสียงด้านหุ่นยนต์อีก จาก “ความสามารถของเยาวชนไทย” นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่คว้าแชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัย สมัยที่ 4 และนักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คว้าแชมป์โลกหุ่นยนต์เตะฟุตบอลขนาดเล็ก สมัยที่ 2 ขณะที่นักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รางวัลที่ 3 ซึ่งนี่มิใช่ครั้งแรก ที่ผ่านมาเยาวชนไทยก็ทำได้มาแล้วหลายครั้ง
นี่น่าจะถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญของ “หุ่นยนต์ไทย” แต่เอาเข้าจริงเราจะก้าวไปได้ถึงไหนยังต้องลุ้น ?!?
ข่าวจาก Daily News Online : https://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=23&contentID=7439
นักเรียน นักศึกษาไทย ได้อะไรจากหุ่นยนต์
แนวคิดในการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบยั่งยืนตลอดชีพผ่านสื่อหุ่นยนต์
นักเรียนมีความรู้ ความสามารถพื้นฐาน ด้านคอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และด้านวิศวกรรม มีความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบและสร้างหุ่นยนต์ สามารถเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ ฝึกการใช้ทักษะต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา นำทักษะไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นต่อไป
นักเรียนฝึกปฏิบัติกิจกรรม การออกแบบหุ่นยนต์ตามความสนใจ เน้นทักษะกระบวนการกลุ่ม ครูเป็นเพียงผู้ให้การสนับสนุน หรือเป็นที่ปรึกษาเท่านั้น นักเรียนต้องฝึกการแก้ปัญหาด้วยตนเองจากคู่มือ จากการลองผิดลองถูก หรือจากครูที่ปรึกษา ทำให้นักเรียนได้ฝึกคิดแก้ปัญหา เกิดการสร้างองค์ความรูขึ้นด้วยมาเอง ตามแนวคิดของทฤษฎี Constructionism
กระบวนการพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้แบบยั่งยืนตลอดชีพผ่านสื่อหุ่นยนต์
(ขับเคลื่อนกระบวนการคิดสู่ห้องเรียน)
1.ขั้นทบทวนความรู้เดิม(คิดเชิงมโนทัศน์)
-ครูกระตุ้น
-นักเรียนตั้งสมมติฐาน ตั้งคำถามและคิดทบทวนว่า ความรู้เดิมของตนคืออะไร (ความรู้เดิมเป็นพื้นฐาน ขององค์ความรู้ใหม่)
2.ขั้นเรียนรู้ร่วมกัน(คิดวิเคราะห์, คิดอย่างมีวิจารณญาณ)
-นักเรียนระดมสมอง
-มีการเรียนรู้ร่วมกัน(ครูต้องเน้นกิจกรรมที่จะให้นักเรียนปฏิบัติ)
3.ขั้นนำเสนอผลงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้(คิดวิพากษ์, คิดประยุกต์)
-นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ เป็นการแสดงผลของการเรียนรู้ และผลของกระบวนการคิด นักเรียนได้มีโอกาสแสดงออก โดยการนำเสนอผลงาน และแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน
4.ขั้นปรับปรุงและพัฒนาผลงาน(คิดเปรียบเทียบ, คิดสังเคราะห์, คิดประยุกต์)
-หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนแล้ว นักเรียนก็จะนำสิ่งที่ได้รับมาประชุม ปรึกษา ปรับปรุง สร้าง และพัฒนาความรู้ขึ้นมาใหม่ นักเรียนจะเกิดความคิดที่ลึกซึ้ง เกิดการคิดวิเคราะห์ และหาทางพิสูจน์ความคิดของตน
5.ขั้นนำเสนอผลงานที่ได้ปรับปรุงพัฒนา(คิดวิพากษ์, คิดประยุกต์)
-นักเรียนจะนำเสนอผลงาน ที่ได้ปรับปรุงและพัฒนาแล้ว โดยมีครูและเพื่อนกลุ่มอื่นร่วมประเมิน โดยใช้แบบประเมินที่ครู และนักเรียนจัดทำร่วมกัน
6.ขั้นสรุปองค์ความรู้(คิดประยุกต์, คิดสร้างสรรค์)
-นักเรียนร่วมกัน สรุปองค์ความรู้ ที่ได้จากการนำเสนอผลงานของตนเอง และของเพื่อนลงในสมุดบันทึก และเพิ่มเติมความคิด หรือคำถามที่ตนเองสงสัยลงไป เพื่อนำไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองต่อไป
การบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ บูรณาการกับกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์
อ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล/ภาพประกอบ
Daily News Online : https://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=23&contentID=7439
สุวิทย์ มูลคำ. "ครบเครื่องเรื่องการคิด" พิมพ์ครั้งที่ 9-กรุงเทพฯ : ห้างหุ่นส่วนจำกัด ภาพพิมพ์. 2551.
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=1209