การอ่านเพื่อให้เข้าใจความหมาย ความรู้สึก และอารมณ์สะเทือนใจจากบทประพันธ์
ตี ( ความ ) ต้องตีให้แตก
ตียังไงให้แตก ตี คือ การตีความที่มนุษย์ส่วนใหญ่ตีความไม่เป็น ไม่รู้ว่าตีความหมายคืออะไร เป็นอย่างไร บางคนตีความไม่ถูกต้อง ไม่รู้ความหมาย ไม่เข้าใจจับประเด็นสำคัญไม่ได้ ตีความไม่แตกจึงเกิดปัญหาขึ้นมาทำให้มนุษย์ไม่สนใจใส่ใจการอ่านตีความ
การตีความเป็นการจับประเด็นความหมายของข้อความ โดยเฉพาะบทความหรือการแสดงความคิดเห็นให้เข้าใจได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียนให้เข้าใจเรื่องราวที่ลึกซึ้ง การอ่านตีความผู้อ่านจะต้องใช้สติปัญญาในการอ่าน เพื่อให้เข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้เขียนที่จะสรุปความคิด จับใจความสำคัญ และอธิบายขยายความได้อย่างถูกต้องและชัดเจน
ทุกคนจะมองว่าการตีความนั้นเป็นสิ่งที่อยากแต่ที่จริงแล้วไม่ยากอย่างที่ตัวเองคิด เพราะมีสาเหตุมาจากผู้อ่านไม่สนใจอ่าน ไม่ฝึกจับประเด็นสำคัญ ไม่ฝึกวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องที่อ่าน และไม่มีสติปัญญาในการอ่านตีความจึงทำให้การตีความเป็นสิ่งที่ยากต่อทุกคน
ในการตีความนั้นจะต้องอ่านเรื่องให้เข้าใจชัดเจนและจับประเด็นสำคัญให้ได้ พิจารณาหาเหตุผลว่าข้อความนั้นหมายถึงอะไรและทำความเข้าใจกับบทความ เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้นแล้วเรียบเรียงคำที่ใช้บรรยายให้มีความหมายชัดเจนแล้วจับใจความสำคัญของเรื่องให้ได้ ให้เข้าใจ จึงจะทำให้ทุกคนตีความได้สำเร็จและถูกต้องอีกด้วย
( ผู้เขียน : นางสาวจันทรกานต์ ดวงหมื่น ม.๕/๑ โรงเรียนเวียงมอกวิทยา สพท.ลำปาง เขต ๒ )
การอ่านตีความ
ความหมายของการอ่านตีความ
การอ่านตีความ หมายถึง การอ่านเพื่อให้เข้าใจความหมาย ความรู้สึก และอารมณ์สะเทือนใจจากบทประพันธ์ ซึ่งอาจเข้าใจได้มากน้อยลึกซึ้งเพียงใด ตรงกันกับผู้ประพันธ์หรือไม่หรือผู้อ่านคนอื่น ๆ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถและประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน โดยในกระบวนการอ่านเพื่อตีความนั้นผู้อ่านจะต้องใช้ความรู้ ความสามารถในการแปลความ จับใจความสำคัญ การสรุปความ รวมทั้งการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของข้อความ
ปัจจัยสำคัญที่สุดในการอ่านตีความ คือ ความเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้เขียนและความหมายของสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนขึ้น การแสดงเจตนาของผู้เขียนนั้นมีทั้งแสดงไว้โดยชัดเจนและโดยซ่อนเร้น การแสดงเจตนาโดยชัดเจนผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ความคิดพิจารณามากมายนัก การแสดงเจตนาโดยซ่อนเร้น คือ ไม่บอกเจตนาตรง ๆ กล่าวถึงเรื่องหนึ่งแต่มีความหมายถึงสิ่งหนึ่งก็ได้
การเข้าใจความหมายของเจตนาดังกล่าว ผู้อ่านจะต้องมีความรู้ความเข้าใจและเข้าถึงความหมายของคำ ของข้อความนั้น ๆ เสียก่อน ความหมายของคำมี ๓ ประเภท คือ
๑. ความหมายกักตุน หมายถึง ความหมายของคำที่มีอยู่ก่อนแล้ว และนำมาตีความในสิ่งที่อ่านต่อไป เช่น สีแดง มีความหมายกักตุนถึงความร้อนแรง ความรุนแรง
๒. ความหมายหลายนัย หมายถึง คำบางคำมีความหมายหลายแง่มุมเช่น น้ำตา เป็นได้ทั้งความดีใจเสียใจ หรือแค้นใจก็ได้
๓. ความหมายนัยประวัติ หมายถึง ความหมายที่จิตใจนึกประหวัดไปถึงบางสิ่งบางอย่างที่สัมพันธ์กับคำที่ปรากฏ เช่น คำว่า กรุงเทพ ฯ ทำให้นึกถึงความเจริญทางวัตถุ ความเสื่อมทางสังคม เป็นต้น
ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการอ่านตีความมีดังนี้
๑. อ่านเรื่องที่จะตีความให้ละเอียด และพยายามจับประเด็นสำคัญของเรื่อง
๒. พยายามทำความเข้าใจถ้อยคำที่เห็นว่ามีความสำคัญ และต้องไม่ลืมดูบริบทว่าบริบทกำหนดความหมายของคำนำไว้อย่างไร
๓. ขณะที่อ่านต้องพยายามคิดหาเหตุผลและใคร่ครวญรอบคอบ นำมาประมวลเข้ากับความคิดของตน ว่าข้อความนั้นมีความหมายถึงสิ่งใด
๔. การตีความมิใช่การถอดคำประพันธ์ เพราะการตีความเป็นการจับเอาแต่ใจความสำคัญ จึงคงไว้ซึ่งข้อความเดิมไม่ได้
๕. การตีความนั้นเป็นการตีความตามความรู้ความคิดของผู้อ่านเอง ซึ่งอาจไม่ตรงกับความคิดของใครก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องมีเหตุผลประกอบที่ชัดเจน
ตัวอย่างการตีความคำประพันธ์สั้น ๆ ง่าย ๆ
๑. ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้
หอมหวนยวนจิตไซร้ ไป่มี
หมายความว่า ชื่อเสียงเกียรติยศนั้น มิได้มาโดยง่าย ๆ ดอกไม้ในที่นี้หมายถึง ความสวยงาม ความราบรื่น
๒. อย่าเอื้อมเด็ดดอกฟ้า มาถนอม
สูงสุดมือมักตรอม อกไข้
เด็ดแต่ดอกพะยอม ยามยาก ชมนา
สูงก็สอยด้วยไม้ อาจเอื้อมเอาถึง
หมายความว่า คนเราควรรู้จักประมาณตนในการเลือกคู่ครอง ไม่ใฝ่สูงจนเกินตัว
ความสอดคล้องกับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ช่วงชั้นที่ ๓ - ๔
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่าง มีประสิทธิภาพ
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ
ประเด็นคำถามสู่การอภิปรายในชั้นเรียน
๑. ความเป็นมาของ การอ่านตีความ
๒. ปัจจัยสำคัญในการอ่านตีความ
๓. ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการอ่านตีความ
๓. การอ่านตีความกับการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
กิจกรรมพัฒนาทักษะ
๑. การระดมพลังสมองแลกเปลี่ยนความคิดเห็น "ทักษะการอ่านตีความ"
๒. การระดมพลังสมองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นวิเคราะห์ประเด็น "การอ่านตีความกับการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน"
๓. สรุปประเด็นเป็นแผนผังความคิด
๔. นำเสนอกิจกรรมในลักษณะการอภิปรายกลุ่ม หรือการพูดแสดงความคิดเห็น
แหล่งที่มาข้อมูลอ้างอิง
๑. นางสาวจันทรกานต์ ดวงหมื่น ม.๕/๑ โรงเรียนเวียงมอกวิทยา สพท.ลำปาง เขต ๒
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=888