https://lentera.uin-alauddin.ac.id/question/gratis-terlengkap/https://old-elearning.uad.ac.id/gampang-menang/https://fk.ilearn.unand.ac.id/demo/https://elearning.uika-bogor.ac.id/tanpa-potongan/https://e-learning.iainponorogo.ac.id/thai/https://organisasi.palembang.go.id/userfiles/images/https://lms.binawan.ac.id/terbaik/https://disperkim.purwakartakab.go.id/storage/https://pakbejo.jatengprov.go.id/assets/https://zonalapor.fis.unp.ac.id/-/slot-terbaik/https://sepasi.tubankab.go.id/2024tte/storage/http://ti.lab.gunadarma.ac.id/jobe/runguard/https://satudata.kemenpora.go.id/uploads/terbaru/
ธุรกิจ การบริหารธุรกิจ กลยุทธ์ การเปลี่ยนผ่าน In The Making รุ่นสาม 'ซีคอน กรุ๊ป' คิดใหม่ทำใหม่ MUSLIMTHAIPOST

 

ธุรกิจ การบริหารธุรกิจ กลยุทธ์ การเปลี่ยนผ่าน In The Making รุ่นสาม 'ซีคอน กรุ๊ป' คิดใหม่ทำใหม่


768 ผู้ชม


ดำเนินธุรกิจโลว์โฟร์ไฟส์มากว่า 50 ปี “ซีคอนกรุ๊ป” ได้เวลาถ่ายเลือดส่งต่อธุรกิจ จากผู้บริหาร "รุ่นสอง" ที่เตรียมปลดระวางสู่ทายาท “รุ่นที่สาม”

ไม่มีธรรมเนียมเปิดตัวกับสื่อหรือสาธารณชนทั่วไปอย่างครึกโครม “ซีคอนกรุ๊ป” ของตระกูล “ซอโสตถิกุล” ที่มีธุรกิจในเครือหลากหลายรอบตัวเป็นที่คุ้นเคย ตั้งแต่ซีคอนสแควร์ ห้างดังย่านศรีนครินทร์ รองเท้านักเรียนนันยางที่มีเอกลักษณ์ที่พื้นรองเท้าสีเขียว ผงชูรสตราชฎา หรือธุรกิจรับสร้างบ้าน "ซีคอนโฮม" ฯลฯ แม้คนภายนอกมองว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่องค์กรที่มีอายุ 50 ปีแห่งนี้ไม่ได้หยุดเดินเพียงแต่เดินช้าลงเพื่อรอการ "ผลัดใบ" ของผู้บริหารรุ่นที่สามเป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ

เมื่อธุรกิจกงสีต้องการเดินหน้าไปให้ไกลขึ้น จึงเป็นเวลาเดียวกับที่ “ปิยะ ซอโสตถิกุล อดีตผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ สายงานลูกค้าเอสเอ็มอีต่างจังหวัดต้องสลัดเนกไทนายแบงก์ที่ทำงานมาร่วม 13 ปี กลับบ้านเพื่อสานต่อสิ่งที่ผู้บริหารรุ่นสองปูทางไว้ ในตำแหน่งกรรมการบริหาร ซีคอนกรุ๊ป

ประวัติโดยย่อของ “ต่อ” ปิยะ นายแบงก์บุคลิกแอ็คทีฟคนนี้ จบการศึกษาวิศวกรรมเคมีและเศรษฐศาสตร์จาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) สถาบันเดียวกับชาติศิริ โสภณพนิช และยังได้ทุนธนาคารกรุงเทพศึกษาต่อในระดับปริญญาโทบริหารธุรกิจเอ็มบีเอจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด

ด้านประวัติการทำงานเริ่มต้นที่สายงานวาณิชธนกิจ โกลด์แมนแซคส์ ตามมาด้วยการนั่งเก้าอี้กรรมการผู้อำนวยการบริษัทเงินทุนบัวหลวง

ความสำเร็จส่วนตัวเป็นคนเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัล 'The Promising Young Banker Awards  for Asia Pacific' หรือนายธนาคารอายุต่ำกว่า 40 ปีที่มีผลงานโดดเด่นประจำภูมิภาคเอเชียโดยนิตยสาร The Asian Banker ในปี 50

ปิยะ ซอโสตถิกุล กรรมการบริหาร ซีคอนกรุ๊ป เล่าถึงแนวทางธุรกิจของกลุ่มฯหลังจากนี้ให้ฟังว่ากลุ่มผู้บริหาร “เจเนอเรชั่นสาม” จะเข้ามา “สานต่อ” และ “เดินหน้า” แผนธุรกิจที่ผู้บริหารรุ่นสองเบิกทางไว้ ซึ่งอาจจะมี "ธุรกิจใหม่ๆ" นอกเหนือจากธุรกิจที่มีอยู่เดิม

“ผู้บริหารรุ่นที่สองคิดจะทำอะไรเยอะแยะแต่ไม่มีคนทำ ตอนนี้เริ่มปลดระวางมาให้รุ่นที่สามทำมากขึ้น ส่วนตัวมารับช่วงกิจการที่บ้านช้ากว่าคนอื่นเพราะทำงานแบงก์มา 13 ปี แต่คนอื่นจะไปทำงานที่อื่นเพียงสองสามปี ถ้าไม่ติดว่า "ขาดคน" ผมก็คงยังทำงานข้างนอกอยู่ แต่นี่มันจำเป็น”

อดีตนายแบงก์ค่ายบัวหลวง ฉายภาพโครงสร้างองค์กรในปัจจุบันให้ฟังว่า ถ้านับทายาทรุ่นที่สามของตระกูลซอโสตถิกุลจริงๆ จะมีอยู่ 20 คน แต่มานั่งดูแลธุรกิจในกลุ่มรวม 8 คน และเพียง 3-4 คนเป็นผู้บริหารระดับสูงซึ่งจะแยกกันดูแลคนละบริษัทฯ ส่วนตนจะไม่ลงไปดูเชิงลึกแต่จะช่วยดูด้านนโยบายในภาพกว้างและกลยุทธ์มากกว่า

“ตัวผมจะมาช่วยดูการลงทุนหรือขยายธุรกิจใหม่ การปรับ Position ของธุรกิจเดิมรวมถึงดูว่าจุดไหนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพได้บ้าง จุดไหนต้องลดต้นทุน เรียกว่าดูหมดทั้งการตลาด โปรดักท์ การผลิต และการเงิน ตอนนี้เพิ่งเข้ามาได้ไม่นานกำลังอยู่ระหว่างเรียนรู้คาดว่าต้องใช้เวลา 6 เดือนจึงจะเริ่มมีการปรับปรุงในบางจุด”

ปิยะ ยังบอกอีกว่า โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่คิดที่จะรีบเปลี่ยนแปลงองค์กรเพราะการเรียนรู้ระบบงานไม่สำคัญเท่ากับเรียนรู้  “วัฒนธรรมองค์กร” แม้จะมีไอเดียต่างๆ มากมายแต่ก็จะต้องศึกษาถึงความเหมาะสม เพราะองค์กรที่ก่อตั้งมานานขนาดนี้ย่อมมีอะไรที่ฝังรากลึก ซึ่งหลายๆ อย่างเป็นสิ่งที่ดีมากอยู่แล้ว

ถ้าถามว่า วัฒนธรรมองค์กรของซีคอนกรุ๊ปเป็นอย่างไร เขาตอบว่าเรายังทำธุรกิจแบบคนจีน (กงสี) บริหารงานแบบครอบครัว คนที่ทำงานตรงนี้ส่วนใหญ่จะอยู่กันมานาน บางคนอยู่มานานถึง 30-50 ปีทำงานจนถึงอายุ 80 ก็มี

ข้อดีก็คือมีความผูกพัน ทำอะไรทุ่มเทเพื่อองค์กร แต่บางธุรกิจที่ต้องการขยายเร็วหรือเป็นของใหม่เราจำเป็นต้องใช้ความเป็น "มืออาชีพ" เข้ามา ซึ่งมีข้อดีคือทำอะไรตามเหตุผล ไม่ต้องเกรงใจกันและได้ความรู้ใหม่ๆ จากมืออาชีพเหล่านี้

ปิยะ บอกด้วยว่า อนาคตคงมีการดึงผู้บริหารมืออาชีพมาร่วมงานกันมากขึ้น

“ถามว่าผมมานั่งที่นี้แล้วจะคิดใหม่ทำใหม่ไหม ? ทำแน่ ! แต่ต้องศึกษาก่อน เวลากลุ่มฯจะทำอะไรเราต้องดูความพร้อมเรื่อง คน เงิน ความเข้าใจตลาด” ปิยะ เผย ก่อนจะเล่าถึงแต่ละธุรกิจในกลุ่มฯว่า

ส่วนใหญ่ที่คนรู้จักกันดีคือห้างซีคอนสแควร์ที่ล่าสุดเพิ่งไปเทคโอเวอร์ห้างฟิวเจอร์ ปาร์คบางแค ธุรกิจนี้ส่วนตัวไม่ค่อยลงไปดูมากนักเพราะมีผลประกอบการดีอยู่แล้ว ส่วนธุรกิจผงชูรสตราชฎาปัจจุบันมีมาร์เกตแชร์ 20% ที่หนึ่งคืออายิโนะโมโต๊ะ แต่ธุรกิจก็ยังดีอยู่

ส่วนรองเท้านักเรียนนันยาง มีมาร์เก็ตแชร์ในตลาด 30% ส่วนรองเท้าแตะหูคีบยางแท้ต้องถือว่าเรายังเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ นอกจากตลาดในประเทศแล้วเรายังส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า บังกลาเทศ ปีละหลายล้านคู่ รวมถึงตลาดใหม่อย่างจีนที่ออเดอร์มาจนผลิตกันให้แทบไม่ทัน

“ธุรกิจผงชูรสและรองเท้า แม้จะเก่าแต่มีอนาคตอยู่ โดยเฉพาะการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนในปี 2015 เราจะได้ประโยชน์จากการส่งออกโดยไม่เสียภาษี อย่างผงชูรสตอนนี้เราก็เริ่มส่งออกไปขายกัมพูชาแล้ว ในขณะเดียวกันเราก็สามารถนำเข้าวัตถุดิบที่มีต้นทุนที่ถูกกว่าเช่นกัน”

อีกธุรกิจที่สร้างชื่อเสียงให้กลุ่ม นั่นคือ "ธุรกิจรับสร้างบ้าน" ที่ทำมานานกว่า 50 ปี ปัจจุบันมีอยู่ 4 บริษัทลูกแบ่งตามเซ็กเมนท์ลูกค้า เช่น ซีคอน โฮม บิวด์ทูบิวด์ คอมแพคโฮม บีคอมพลีท ถือได้ว่ามีมาร์เกตแชร์ "อันดับหนึ่ง" ในตลาด

ที่สำคัญธุรกิจนี้ยังนำมาต่อยอดกับธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นนั่นคือธุรกิจ “อสังหาริมทรัพย์”

“จริงๆ แล้ว จะพูดว่าใหม่ซะทีเดียวคงไม่ได้ เพราะถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปี ซีคอนฯ เราเป็นผู้พัฒนาหมู่บ้านจัดสรรแห่งแรกของไทยด้วยซ้ำในชื่อหมู่บ้านมิตรภาพ แต่เราหยุดไปนานเพิ่งกลับมาทำใหม่”

เขาบอกว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มเริ่มต้นทำมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้วในชื่อบริษัทเอราวัณนา โดยเป็นการสร้างที่อยู่อาศัยให้ชาวต่างชาติที่จังหวัดภูเก็ต เปิดตัวมาแล้ว 8 โครงการ และกำลังจะเปิดโครงการที่ 9 และ 10 ในเร็วๆ นี้ ถือได้ว่าโครงการนี้สร้างชื่อเสียงในตลาดได้พอสมควร

ล่าสุดกลุ่มซีคอนฯ ยังเพิ่งเปิดตัวโรงแรม 5 ดาว มูลค่า 1,600 ล้านบาท ในนาม Renessance Resort and Spa ที่หาดไม้ขาว ในจังหวัดภูเก็ต

ปิยะ ยังประเมินสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติในภูเก็ตว่า ถือว่าไม่ง่ายนัก เพราะมีผู้ประกอบการกว่า 20% ไม่สามารถสร้างบ้านให้ลูกค้าได้ทัน เพราะช่วงที่ผ่านมาเผชิญศึกหนักทั้งการแข็งค่าของเงินบาทและวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ด้วยความที่บริษัทในกลุ่มฯประกอบธุรกิจมานาน มีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ ของตลาดจึงไม่ได้รับผลกระทบที่ว่ามากนัก ยังสามารถตั้งราคาขายบ้านที่ 15-20 ล้านบาท มียอดขายปีละกว่า 1,000 ล้านบาท

ถ้าเป็นธุรกิจใหม่เลยคงเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทสร้างเพื่อขาย อย่างโครงการทาวน์เฮ้าส์ย่านศรีนครินทร์ จำนวน 50 ยูนิต มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท ตอนนี้เปิดขายแล้วถือเป็น Pilot Project โดยอาศัยจุดแข็งของแบรนด์ซีคอนฯ

“จริงๆ โครงการนี้ในกลุ่มฯเราคุยกันมานานเป็น 10 ปีแล้วแต่ไม่มีใครทำ พอผมเข้ามาเราก็คุยกับผู้บริหารรุ่นสองเขาก็เห็นด้วยอนุมัติภายในวันเดียวเพียง 3 เดือนแบบก็เสร็จและกำลังเริ่มก่อสร้าง ถ้าสำเร็จก็จะมีโครงการที่สองที่สามจ่อคิวไว้แล้ว แต่ต้องรอโครงการแรกให้ขายเกือบหมดก่อน”

ปิยะบอกอีกว่า ปัจจุบันกลุ่มซีคอนฯมีแลนด์แบงก์ในมือพอสมควรโดยเฉพาะย่านศรีนครินทร์ โดยเขายอมรับว่ากำลังคุยกันในกลุ่มฯว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าแลนด์แบงก์ที่ว่านี้จะถูกนำมาพัฒนาเชิงพาณิชย์เป็นอะไรได้บ้าง เนื่องจากพื้นที่เริ่มมีศักยภาพเพราะถนนในบริเวณนั้นกำลังจะขยายเป็น 6 เลน และน่าจะมีรถไฟฟ้ามาถึง แต่ถึงอย่างไรก็ตามปิยะบอกว่าจะขยายงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปแม้จะไม่ขัดสนเรื่องเงินลงทุน แต่ก็ยังต้องสั่งสมประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาฯให้มากกว่านี้

ถามว่าธุรกิจใดจะเป็น “ดาวรุ่ง” ของกลุ่มฯ ปิยะบอกว่า จริงแล้วทุกธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้ทั้งหมด ถ้าดูรายได้หลักของกลุ่มฯตอนนี้อาจจะเป็นศูนย์การค้าหรือรองเท้านักเรียน ส่วนอสังหาริมทรัพย์หรือโรงแรมยังเล็กมาก สัดส่วนกำไรคงยังไม่ถึง 5%ของกลุ่มแต่มีแนวโน้มว่าทั้งธุรกิจอสังหาฯ และโรงแรมจะเป็นธุรกิจหลักในอนาคต

ปิยะ ยังอธิบายแนวทางธุรกิจของกลุ่มซีคอนฯว่า ต้องอยู่บนหลักการแบบค่อยเป็นค่อยไป ถ้าย้อนไปดูประวัติ 30 ปีแรกของเราแทบไม่มีการขยายธุรกิจเลยเพิ่งมาขยายธุรกิจเมื่อ 20 ปีให้หลัง ที่สำคัญจะทำเมื่อพร้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีเพราะในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เราไม่เจ็บตัว มีไปกู้เงินต่างประเทศBIBFมาบ้าง แต่ก็สามารถออกหุ้นกู้ชำระคืนได้ทันที

“นโยบายเราไม่พร้อม ไม่ขยาย ไม่แตกไลน์ บางครั้งเสียโอกาสบ้างแต่ก็เป็นแนวทางของเรา เรื่องเงินสำคัญมากไม่มี-ไม่ทำต้องอยู่ได้โดยไม่ต้องกู้แบงก์”

ส่วนเรื่องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ เขาบอกว่าห้างซีคอนสแควร์เป็นบริษัทมหาชนและ "เคยคิด" ที่จะเข้าตลาดฯ แต่คิดไปคิดมาถ้าเหตุผลของการเข้าตลาดหุ้นคือต้องการเงินขยายธุรกิจเร็ว แต่เราไม่ต้องการเพราะใช้เงินตัวเองตลอด หรือจะเข้าเพื่อให้คนในตระกูลขายหุ้นออกมาก็ไม่มีใครจะขาย และไม่คิดจะขายด้วย 

ถามถึงเป้าหมายของกลุ่มซีคอนฯในอนาคต เขายอมรับว่าตอนนี้ยังอยู่ในช่วง In The Making (กำลังเปลี่ยนผ่าน) ถ้าเป็นรุ่นที่สองเขาทำสำเร็จไปแล้วคือทำให้ลูกหลานอยู่ดีกินดี มีธุรกิจที่มีรากฐานมั่นคง พวกเรารุ่นสามกำลังคิดเป้าหมายกันอยู่ว่าจะไปทางไหน คงต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อสรุป

“สูตรธุรกิจแบบซอโสตถิกุลคือก้าวอย่างมั่นคง” ปิยะสรุปสั้นๆ แต่ได้ใจความ

ที่มา;https://www.bizexcenter.com/กรณีศึกษาทางธุรกิจ/รุ่นสาม-ซีคอน-กรุ๊ป-คิดใหม่ทำใหม่.html

อัพเดทล่าสุด