การผลิต กระบวนการผลิต การสร้างคอนกรีต


650 ผู้ชม


องค์ประกอบของคอนกรีต
          คอนกรีตประกอบด้วยปูนซีเมนต์ หิน ทราย และน้ำ โดยเมื่อนำส่วนผสมต่างๆ เหล่านี้มาผสมกันจะมีชื่อเรียกเฉพาะดังนี้
          ปูนซีเมนต์ผสมกับน้ำเรียกว่า ซีเมนต์เพสต์  (Cement paste)
          ซีเมนต์เพสต์ผสมกับทรายเรียกว่า มอร์ต้า (Mortar)
          มอร์ต้าผสมกับหินหรือกรวดเรียกว่า คอนกรีต  (Concrete) ซึ่งสามารถนำมาเขียนเป็นแผนภูมิได้ ดังนี้

หน้าที่และคุณสมบัติของส่วนผสม 

          ซีเมนต์เพสต์ มีหน้าที่เสริมช่องว่างระหว่างมวลรวม เช่น หิน กรวด และทราย หล่อลื่นคอนกรีตสดขณะเทหล่อ และให้กำลังแก่คอนกรีตเมื่อคอนกรีตแข็งตัว รวมทั้งป้องกันการซึมผ่านของน้ำ
          คุณสมบัติของซีเมนต์เพสต์จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของปูนซีเมนต์ อัตราส่วนของน้ำต่อปูนซีเมนต์ และความสมบูรณ์ของปฏิกิริยาระหว่างน้ำกับปูนซีเมนต์ หรือที่เรียกว่า ปฏิกิริยาไฮเดรชั่น (Hydration Reaction)

         มวลรวม
 มีหน้าที่เป็นตัวแทรกประสานที่กระจายอยู่ทั่วซีเมนต์เพสต์ ช่วยให้คอนกรีตมีความคงทน ปริมาตรไม่เปลี่ยนแปลงมาก
          คุณสมบัติของมวลรวมที่สำคัญคือ มีความแข็งแรง การเปลี่ยนแปลงปริมาตรต่ำ คงทนต่อปฏิกิริยาเคมี และมีความต้านทานต่อแรงกระแทกและการเสียดสี

          น้ำ
 มีหน้าที่หลักคือ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาไฮเดรชั่น (Hydration Reaction) กับปูนซีเมนต์ทำหน้าที่หล่อลื่นเพื่อให้คอนกรีตอยู่ในสภาพเหลวสามารถเทได้ และเคลือบหินทรายให้เปียกเพื่อให้ซีเมนต์เพสต์สามารถเข้าเกาะได้โดยรอบ นอกเหนือจากหน้าที่หลักแล้ว น้ำยังใช้ล้างวัสดุมวลรวมต่างๆ และใช้บ่มคอนกรีตอีกด้วย

          น้ำยาผสมคอนกรีต
 มีหน้าที่สำคัญ คือ  ช่วยปรับปรุงคุณสมบัติทั้งคอนกรีตทีเหลวและคอนกรีตที่แข็งตัวแล้วในด้านต่างๆ  เช่น เวลาในการก่อตัว ความสามารถเทได้ กำลังอัด ความทนทาน เป็นต้น

          คอนกรีตที่ใช้ในงานทั่วไปสามารถแบ่งเป็น  ๓ ชนิด ตามสัดส่วนของส่วนผสม คือ
         ๑. คอนกรีตสำหรับงานทั่วๆ ไปทุกชนิด ประกอบด้วยซีเมนต์ ๑ ส่วน ทราย ๒ ส่วนและหินหรือกรวด ๔ ส่วน โดยปริมาตร
         ๒. คอนกรีตสำหรับงานที่ต้องการรับแรงสูงเป็นพิเศษ เช่น ตอม่อใต้น้ำ ประกอบด้วยซีเมนต์ ๑ ส่วน ทราย ๑.๕ ส่วน และหิน ๓ ส่วน
         ๓. คอนกรีตหยาบสำหรับงานที่เทเหนือเสาเข็มเพื่อรองรับฐานราก ประกอบด้วย ซีเมนต์ ๑ ส่วน ทราย ๓ ส่วน และหิน ๖ ส่วน

คอนกรีตที่ดีกับคอนกรีตที่ไม่ดี 

         คอนกรีตที่ดี เป็นคอนกรีตที่ต้องมีคุณสมบัติเป็นที่น่าพอใจ ทั้งในสภาพคอนกรีตเหลวกล่าวคือ ตั้งแต่การผสม การลำเลียงจากเครื่องผสม การเทลงแบบหล่อ การอัดแน่น และในสภาพคอนกรีตที่แข็งตัวแล้ว กล่าวคือ คอนกรีตจะต้องมีความข้นเหลวที่จะให้การอัดแน่น ในแบบหล่อคอนกรีตให้เป็นไปตามวิธีการที่ต้องการโดยไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากรวมทั้งส่วนผสมจะต้องมีการยึดเกาะกันอย่างเพียงพอสำหรับวิธีการเทคอนกรีตที่จะใช้ โดยไม่มีการแยกตัวซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดการไม่สม่ำเสมอในเนื้อคอนกรีต และเมื่อคอนกรีตแข็งตัวแล้วต้องได้กำลังอัดตามข้อกำหนด นอกจากนี้ยังต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ อีก เช่น ความหนาแน่น ความทนทาน ความสามารถรับแรงดึง ความต้านทาน  การซึมผ่านของน้ำหรือของเหลว ความต้านทานต่อแรงกระแทรกและการเสียดสี การทนต่อการกัดกร่อนจากซัลเฟตและอื่นๆ 

          คอนกรีตที่ไม่ดี
 โดยทั่วไปจะมีความข้นเหลวไม่เหมาะสมกับการใช้งาน เมื่อแข็งตัวจะมีรูโพรง และไม่เป็นเนื้อเดียวกันทั้งโครงสร้าง
ปัจจัยในการทำคอนกรีตที่ดี 
          การทำคอนกรีตต้องมีกระบวนการผลิตที่เป็นขั้นตอน เพื่อให้ได้คอนกรีตที่มีคุณสมบัติสม่ำเสมอ ทั้งทางด้านความสามารถเทได้ (Workability) กำลัง (Strength) ความต้านทานการซึมผ่านของน้ำ (Permeability) และความทนทาน(Durability)
          กระบวนการทำคอนกรีตทั่วไปอาจเรียงลำดับขั้นตอนได้ดังนี้
          ๑. การเลือกหาวัตถุดิบที่เหมาะสม
          ๒. การกำหนดอัตราส่วนผสม
          ๓. การชั่งหรือตวงวัตถุดิบ เพื่อให้ได้อัตราส่วนผสมที่ถูกต้อง
         ๔. การผสม
         ๕. การลำเลียงคอนกรีตสดไปเท
         ๖. การเท
         ๗. การทำให้คอนกรีตอัดแน่น
         ๘. การแต่งผิว
         ๙. การบ่ม
         ๑๐. การแกะแบบหล่อคอนกรีตตามระยะเวลาที่ถูกต้อง

ที่มา https://guru.thaibizcenter.com/articledetail.asp?kid=2864

อัพเดทล่าสุด