ที่พักอัมพวา ข้อมูลที่พร้อมที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยวอัมพวา


1,053 ผู้ชม


ไปดูหิ่งห้องและตกกุ้งที่อัมพวากับเรือนสบาย

หากพูดถึงอัมพวา ก็ขาดไม่ได้ที่ต้องไปชมหิ่งห้อย เพราะที่นี่ดังมานานมาก วันนี้หมูหินจึงถือโอกาสพาไปชมหิ่งห้องที่อัมพวาและต่อด้วยการไปตกกุ้งด้วยเลย ทริปนี้โดยการพาชมพาเที่ยวของ พี่จักรของเรือนสบายแห่งอัมพวาครับผม

ดูหิ่งห้อยนับร้อยนับพันตัวที่อัมพวากัน นั่งเรือชมหิ่งห้อย  คล้อยตามลำน้ำ  ดูธรรมชาติที่สร้างมาแบบสมบูรณ์  คลองอัมพวาใช่ว่ามากินๆๆๆๆแล้วก็กินอย่างเดียว  ที่นี่ยังมีหิ่งห้อยให้ดูให้ชมกันอีกด้วย  ช่วงเดือนห้าเดือนหก หรือเดือนพฤษภาคม-ตุลาคมของทุกปี  จะเป็นเดือนที่มีหิ่งห้อยมากที่สุดในรอบปี  จะมีหิ่งห้อยจำนวนมากมาเกาะกิ่งต้นโกงกางและต้นลำพูอยู่นับร้อยนับพันตัว  เปล่งแสงระยิบระยับแข่งกัน  แต่เราก็สามารถชมหิ่งห้อยได้ตลอดทั้งปีนะครับ

 

ช่วงที่ชมหิ่งห้อยที่ดีที่สุดคือช่วงหัวค่ำ  เวลาประมาณ  หนึ่งทุ่ม-สองทุ่ม  เพราะหากช้าไปกว่านี้แสงของหิ้งห้อยจะเริ่มอ่อนแสงลง  เพราะยิ่งนานยิ่งดึกหิ่งห้อยก็อ่อนแรงลง  อยากดูอยากเที่ยวก็ต้องไปเร็วๆหน่อย  และจะให้ดีหากดูหิ่งห้อยแล้วก็นอนโฮมเสตย์แถวๆนั้นไปเลยดีกว่าครับ  ดีกว่าขับรถกลับกรุงเทพ  เพราะอาจจะทำให้ง่วงได้  เพราะเราได้ทานอาหารที่ตลาดน้ำยามเย็นอัมพวาแบบอิ่มหนำสำรญมาแล้ว  ก็นั่งเรือเที่ยวชมหิ่งห้อย  ราคาที่พักก็ไม่แพง  ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าครับ  ตอนเช้าจะได้ตักบาตรร่วมขันกันได้ด้วย  เพราะตอนเช้าจะมีพระออกมาบิณฑบาตร  บ้างก็เดินมาบ้าง  บ้างก็พายเรือมาบ้าง  เป็นเสน่ห์ที่หาได้ไม่ไกลจากเมืองหลวง

หิ่งห้อยตัวน้อยนิดพวกนี้มีอายุอยู่แค่ 14 วัน หรือประมาณสองอาทิตย์  อายุสั้นเหมือนแมลงทั่วๆไป  ใช้เวลาฟักตัวประมาณ 90 วัน  อาศัยอยู่บริเวณที่เป็นน้ำกร่อย  แต่ก็อยู่ที่น้ำสะอาดหรือไม่สะอาดด้วยนะครับ  เพราะหากน้ำไม่สะอาดการเกิดของหิ่งห้อยจะน้อย  แต่ถ้าหากน้ำสะอาดการเกิดของหิ่งห้อยจะเยอะขึ้น  งั้นเราต้องทำให้น้ำสะอาดๆไว้  เราจะได้มีหิ่งห้อยไว้ดูไปอีกนานแสนนาน

 

หิ่งห้อยจะอยู่ริมน้ำ  เกาะกิ่งไม้โกงกางตามธรรมชาติ  แต่บ้านของหิ่งห้อยคือต้นลำพู  หิ่งห้อยที่อัมพวาจะเยอะมากที่สุดคือคลองผีหลอก  แต่จะมีให้ชมตามแม่น้ำแม่กลองด้วย  แต่ก็ไม่เยอะเหมือนคลองผีหลอกครับ  ชื่ออาจฟังดูน่ากลัว  แต่ความเป็นมาของคลองผีหลอกไม่ธรรมดา  เพราะว่าชื่อคลองผีหลอกก็มาจากการหาปลาสมัยโบราณนั่นเอง

หิ่งห้อยมีให้ชมกันตามที่ต่างๆด้วย และมีหลายสายพันธุ์    หากบนับสายพันธุ์จากทั่วโลกก็ประมาณ 2,000 สายพันธุ์  แถวๆคลองบางคนทีก็มีให้ชมกัน  แต่จะเป็นหิ่งห้อยช้างตัวหิ่งห้อยจะใหญ่กว่าที่อยู่ตามคลองผีหลอก(สามารถดูรูปหิ่งห้อยได้ที่หมูหินครับ)  แต่จะชอบอาศัยอยู่ตามต้นมะพร้าว  หิ่งห้อยช้างแสงสว่างจะเยอะกว่าหิ่งห้อยตัวน้อย  แต่จะนิยมอยู่กันเป็นกลุ่มไม่ใหญ่  กลุ่มนึงจะมีประมาณสามถึงสี่ตัวครับ

 

การชมหิ่งห้อยควรชมในยามคืนเดือนมืดหรือข้างแรม  เพราะถ้าหากเราไปชมหิ่งห้อยยามข้างขึ้นเราจะเห็นความงามของธรรมชาติของเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยน้อยลง  เพราะความสว่างจากดวงจันทร์จะทำให้เรามองเห็นเจ้าหิ่งห้อยที่พร้อมเพียงกันส่องแสงระยิบระยับ  เหมือนนัดหมายกันมาว่าต้องมีจังหวะที่เข้ากันเป็นกลุ่ม  เพราะฉะนั้นก่อนการเดินทางก็ควรเช็คความพร้อมให้ดีนะครับ

 การล่องเรือชมหิ่งห้อยจะเป็นวงรอบ  หากเราชมเป็นวงรอบก็จะให้เวลาอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที  หากอย่างไรควรสอบถามทางเรือก่อนดีกว่าว่าเราควรจะไปแบบไหน  อัตราค่าบริการก็อยู่ที่คนละ 60-90 บาทโดยประมาณหากไปแบบซื้อตั๋วนะครับ แต่เรืแก็บรรทุกได้ไม่เกิน 15 ท่าน หรือหากอยากไปแบบส่วนตัวก็ได้ไม่ว่ากัน  ราคาก็อยู่ประมาณ 600 บาท  นั่งได้ประมาณ 10 ท่าน  ไปแบบเพื่อนฝูงหรือไปแบบครอบครัวที่อบอุ่นน่ารักก็ได้ไม่ว่ากัน  

ลักจากดูหิ่งห้อยแล้วเรามาตกกุ้งกันต่อครับ เราพวกมือสมัครเล่น เห็นมืออาชีพเขาตกคิดว่าจะได้สักตัวสรุปว่าไม่ได้เลย แต่ก็ยังมีรูปสวยๆมาฝากครับ มาเรียนรู้วิธีตกกุ้งกันก่อนนะครับ


ขอขอบคุณรูปนี้จากเว็บ www.siamfishing.com/board/view.php?tid=11516
เราตกไม่ได้แบบนี้หรอกครับยืมรูปเขามาให้ชมกันครับ

การเตรียมเบ็ด
ในการเตรียมเบ็ดนั้นคุณลุงเหวยให้เตรียมเป็นเบ็ดพวงเพราะจะสามารถเกาะเหยื่อเป็นก้อนใหญ่ได้ โดยเบ็ดที่ใช้จะเป็นเบ็ดไม่มีเงี่ยง เพราะเบ็ดที่มีเงี่ยงนั้นจะทำอันตรายกับกุ้งได้มากกว่าเบ็ดไม่มีเงี่ยง ซึ่งกุ้งอาจตายได้และไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน เบ็ดไม่มีเงี่ยงทำได้โดยนำเข็มเย็บผ้าธรรมดา ลนไฟแล้วงอให้เป็นรูปเบ็ด ทำให้ได้ประมาณ 4 – 5 อัน แล้วร้อยรูด้วยเชือกหรือเส้นเอ็นขนาดเล็ก จากนั้นนำมารวมกันเป็นเบ็ดพวง ซึ่งจะทำกี่พวงนั้นขึ้นกับความต้องการของผู้ตก หากต้องการทำเบ็ดสาย ก็ต้องใช้หลาย ๆ พวง หากไม่ต้องการทำเบ็ดสายก็นำเบ็ดพวง 1 อัน มาผูกกับคันเบ็ดที่มีความยาวประมาณ 2 เมตร ซึ่งคันเบ็ดจะยาวเท่าไรนั้นขึ้นกับความสะดวกของผู้ใช้

วิธีการตกกุ้ง
เมื่อได้เบ็ดพวงมาแล้ว ให้นำเหยื่อที่เตรียมไว้มาเกี่ยวกับเบ็ด จากนั้นจึงนำไปตก ก่อนตกนั้นจะต้องถ่วงตะกั่วก่อน โดยให้ใช้ตะกั่วเท่ากับเม็ดถั่วเขียว มาถ่วงที่เชือกที่มีเบ็ดอยู่ โดยการตกกุ้งนั้นควรตกเวลาประมาณ 6 โมงเย็นเป็นต้นไป และควรเลือกบริเวณที่มีน้ำนิ่ง หรือน้ำอับ ในการตกนั้นคุณลุงแนะเคล็ดลับความเชื่อไว้ว่า ให้ผู้เตรียมนั้นไปเพียงคนเดียว ห้ามใครไปเป็นเพื่อน และห้ามพูดกับใครเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่ได้กุ้งกลับบ้านเลย ซึ่งหากพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ต้องการความเงียบสงบนั่นเอง

เ มื่อตกเบ็ดแล้วให้นั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ประมาณ 15 – 20 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชุกชุมของกุ้ง เมื่อกุ้งกินเหยื่อแล้ว ให้ค่อย ๆยกเบ็ดขึ้นแล้วใช้สวิงรอง จากนั้นจึงหยิบกุ้งใส่ข้องที่เตรียมไว้ โดยข้องนั้นจะต้องแช่น้ำไว้เพื่อไม่ให้กุ้งตายก่อน คุณลุงยังกล่าวอีกว่าสาเหตุที่ใช้น้ำมะพร้าวน้ำหอมและใบเตยนั้นเป็นเพราะว่าทั้งสองอย่างนี้มีกลิ่นหอม เมื่อหย่อนเบ็ดลงไปในน้ำ กุ้งจะได้กลิ่นแล้วจะพากันมากิน ส่วนนุ่นและแป้งข้าวเจ้านั้นจะเป็นตัวช่วยทำให้เหยื่อเป็นก้อน ดังนั้นทั้งสองอย่างนี้จึงเป็นตัวประสานที่จะทำให้เหยื่อเกาะกันเป็นก้อนเมื่อจุ่มลงในน้ำ การตกกุ้งของคุณลุงเคยตกได้คราวละมาก ๆ เป็นประจำ จนคนอื่นที่หากุ้งเป็นอาชีพเกิดความไม่พอใจ เพราะกุ้งมีน้อยลง และขยายพันธุ์ไม่เพียงพอ กุ้งที่คุณลุงได้นั้นจะนำมากินเองบ้าง ขายบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณ แต่ทุกครั้งที่คุณลุงออกไปตก มักจะได้กุ้งกลับมา คุณลุงยังกล่าวอีกว่าให้ไปลองทำดูเอง เพราะทำให้ดูไม่ได้ ถ้าทำให้ดูก็จะไม่ได้กุ้งกลับมา
จะเห็นได้ว่าคนสมัยก่อนฉลาดในการหากิน สามารถที่จะเรียนรู้ในเรื่องของความหลากหลายทางชีวภาพด้วยตนเอง แล้วนำความรู้เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในการทำมาหากิน โดยจะต้องรู้ว่ากุ้งสามารถรับรู้กลิ่นได้ แล้วกลิ่นอย่างไรกุ้งจึงชอบ แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะได้กุ้งมา จนต้องมีการลองผิดลองถูกในการคิดสูตรอาหารของกุ้ง จนได้สูตรอาหารที่ใช้ได้จริง ซึ่งความรู้เหล่านั้นได้สืบทอดมารุ่นแล้วรุ่นเล่า จนถึงปัจจุบันนี้ แต่คนรุ่นหลังมาคงจะยังไม่เคยได้ยินกันสักเท่าไร

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://gotoknow.org/blog/Beeboyblog/33468

 การเดินทางก็มีอยู่มากมายหลายแบบเลือกกันแบบตามใจชอบ 

การเดินทาง

จากตัวเมืองสมุทรสงคราม ไปตามเส้นทางสู่ดำเนินสะดวก ประมาณกิโลเมตรที่ 9 จะเห็นทางแยกเลี้ยวขวา มีป้ายบอกชัดเจนว่า "ทางไปตลาดน้ำท่าคา" จากทางแยกไปบนถนนตัดใหม่ราว 5 กิโลเมตร จะถึง ตลาดน้ำท่าคา

จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนพระราม 2 (ทางหลวงหมายเลข 35) เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดสมุทรสงคราม ใช้ทางหลวงหมายเลข 325 (สมุทรสงคราม-บางแพ) ถึงหลักกิโลเมตรที่ 32 เลยทางแยกเข้าวัดเกาะ แก้วไปเล็กน้อย จะมีทางแยกเข้าวัดเทพประสิทธิ์ (ถนนบางใหญ่-บางสะใภ้) ตรงเข้าไปประมาณ 5 กม. จากปากทางถึงตลาดน้ำ

จากสถานีขนส่งสายเหนือ หรือสายใต้ ถึงจังหวัดสมุทรสงคราม ขึ้นรถสองแถวเล็กสายแม่กลอง-วัดเทพ ประสิทธิ์ (คนละ 12 บาท) หรือเช่าเหมารถ (ประมาณคันละ 150 บาท) มายังตลาดน้ำ 

หิ่งห้อยตัวน้อยตัวนิด

ลิ่กษณะทั่วไปของหิ่งห้อย
หิ่งห้อย (Firefly , Lightening bug) แมลงแสง แมลงคาเรือง หรือ แมลงทิ้งถ่วง ทั่วโลกมีหิ่งห้อยประมาณ 2,000 ชนิด หิ่งห้อยตัวเต็มวัยเพศผู้มีปีก ส่วนเพศเมียมีทั้งปีกและไม่มีปีก บางชนิดมีปีกสั้นมาก (Brachypterous) ชนิดที่ไม่มีปีก มีรูปร่างลักษณะคล้ายตัวหนอน หนอนของหิ่งห้อยเป็นตัวห้ำกินหอยฝาเดียว ไส้เดือน กิ้งกือ และแมลงตัวเล็กๆเป็นอาหาร หิ่งห้อยมีลักษณะเด่น คือสามารถทำแสงได้ทั้งระยะหนอน ดักแด้ ตัวเต็มวัย
ส่วนระยะไข่ทำแสงได้เฉพาะบางชนิดเท่านั้น

การทำแสงของหิ่งห้อย
หิ่งห้อยมีอวัยะทำแสงอยู่บริเวณส่วนท้องด้านล่าง เพศผู้มีอวัยวะทำแสง 2 ปล้อง เพศเมียมี 1 ปล้อง แต่บางชนิดตัวเต็มวัยเพศเมียมีรูปร่างลักษณะคล้ายหนอนมีอวัยวะทำแสงด้านข้างของลำตัวเกือบทุกปล้อง แสงของหิ่งห้อย เกิดจากปฏิกริยาของสาร Leciferin เป็นตัวเร่งปฏิกริยาและมีสาร Adenosine Triphosphate (ATP) เป็นตัวให้พลังงาน ทำให้เกิดแสง หิ่งห้อยทำแสงเพื่อการผสมพันธุ์และสื่อสารซึ่งกันและกัน
ความถี่การกะพริบแสงของหิ่งห้อยแตกต่างกันตามชนิดของหิ่งห้อย

แหล่งอาศัยของหิ่งห้อย
หิ่งห้อยมีแหล่งอาศัยแตกต่างกัน บางชนิดอาศัยอยู่บริเวณแหล่งน้ำจืด แต่บางชนิดอาศัยอยู่บริเวณน้ำกร่อย หรือป่าชายเลน และมีอีกหลายชนิดอาศัยอยู่บริเวณสวนป่าที่มีสภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ซึ่งไม่เคยถูกทำลายมาก่อน

วงจรชีวิตของหิ่งห้อย
หิ่งห้อยมีการเจริญเติบโตแบบสมบูรณ์ (Complete metamorphosis) คือมีระยะไข่ , ระยะหนอน , ระยะดักแด้ , ตัวเต็มวัย โดยเพศเมียจะวางไข่เป็นกลุ่มใต้ใบพืชน้ำ เช่น ใบจอกหรือวางไข่เป็นฟองเดี่ยวๆ ตามพื้นดินที่ชุ่มชื้น แล้วแต่ชนิดของหิ่งห้อย ไข่เมื่อฟักออกเป็นตัวหนอนมีการลอกคราบ 4-5 ครั้ง จึ่งเข้าดักแด้ แล้วออกเป็นตัวเต็มวัย

ประโยชน์ของหิ่งห้อย
1. การกะพริบแสงระยิบระยับของหิ่งห้อยจำนวนมาก ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเกิดความสวยงามตามธรรมชาติในยามค่ำคืน สามารถจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้ เช่น การลงเรือชมหิ่งห้อยที่ จังหวัดสมุทรสงคราม เพชรบุรี และ ตราด
2.
หิ่งห้อยเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ และสภาพแวดล้อม
3.
ระยะหนอนของหิ่งห้อย เป็นตัวทำลายหอย ซึ่งเป็นสัตว์อาศัยตัวกลางของพยาธิที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และพยาธิใบไม้ในสำไส้คน
4.
นักวิทยาศาสตร์ กำลังสนใจศึกษาค้นคว้า สารลูซิเฟอริน ในหิ่งห้อยซึ่งเชื่อว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการแพทย์และ
ด้านพันธุวิศวกรรม

ข้อแนะนำสำหรับการชมหิ่งห้อย
• ช่วงเวลาหรือฤดูกาลที่เหมาะสม โดยปกติแล้วหิ่งห้อยจะมีตลอดทั้งปี แต่จะมากในฤดูร้อน และฤดูฝน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือน พฤษภาคม – ตุลาคม
• 
เลือกช่วงเวลาที่เป็นข้างแรม เนื่องจากแสงของหิ่งห้อยมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเป็นเวลาข้างขึ้น ท้องฟ้าจะสว่าง ทำให้เห็นแสงของหิ่งห้อยไม่ชัดเจน จึงควรเลือกวันที่ท้องฟ้ามืดมิด
• 
เลือกช่วงเวลาที่น้ำมาก จังหวัดสมุทรสงครามเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้ทะเล น้ำจะขึ้น-ลง อยู่ตลอดเวลา ควรจะเลือกวันที่น้ำมาก เพราะเรือสามารถเข้าไปใกล้กับต้นลำพูซึ่งหิ่งห้อยเกาะอยู่ ทำให้สามารถเห็นแสงของหิ่งห้อยได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
• 
เลือกผู้ให้บริการ การล่องเรือชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืน เรือจะวิ่งไปตามแม่น้ำและลำคลองที่มืด หิ่งห้อยจะมีอยู่เป็นจุดๆ ในบริเวณที่แตกต่างกัน ถ้าหากผู้ให้บริการไม่มีความชำนาญในเส้นทางและรู้แหล่งที่อยู่ หรือให้บริการในเส้นทางที่สั้นเกินไป ย่อมทำให้นักท่องเที่ยวเห็นหิ่งห้อยได้น้อย
ซึ่งควรตรวจสอบระยะทางการล่องเรือชมหิ่งห้อยกับผู้ให้บริการเสียก่อน

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก https://www.maeklongtoday.com 

อัพเดทล่าสุด