จังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งอยู่ทางภาคเหนือตอนล่าง ได้ชื่อว่าเมืองท่าแห่งทิศเหนือ ตำนานอันลึกลับของเมืองลับแล ดินแดนแห่งลางสาดหวานหอม และบ้านเกิดของพระยาพิชัยดาบหัก ขุนศึกคู่บารมีของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
อุตรดิตถ์เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มายาวนาน โดยมีการค้นพบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของชุมชนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์[2] ในสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรีนั้น อุตรดิตถ์มีเมืองสำคัญคือเมืองพิชัยและเมืองสวางคบุรีซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ (ซึ่งทั้งสองเมืองนั้นเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย)
เดิมทีตัวเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบันนี้เป็นเพียงตำบลชื่อ "บางโพธิ์ท่าอิฐ" ขึ้นกับเมืองพิชัย แต่เพราะบางโพธิ์ท่าอิฐซึ่งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำน่านมีความเจริญรวดเร็ว เพราะเป็นท่าเรือขนถ่ายสินค้าสำคัญในหัวเมืองฝ่ายเหนือ ดังนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะตำบลบางโพธิ์ท่าอิฐขึ้นเป็นเมือง "อุตรดิตถ์" ซึ่งมีความหมายว่า ท่าเรือด้านทิศเหนือของสยามประเทศ[3] แต่ยังคงขึ้นกับเมืองพิชัยอยู่ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 เมืองอุตรดิตถ์มีความเจริญขึ้นมากกว่าเมืองพิชัย เมืองอุตรดิตถ์จึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัด และเมืองพิชัยเลื่อนลงไปเป็นอำเภอหนึ่งขึ้นกับจังหวัดอุตรดิตถ์จนทุกวันนี้[4]
จังหวัดอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ทางใต้สุดของภาคเหนือ โดยสภาพภูมิศาสตร์จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่สูงสลับซับซ้อน ซึ่งจะอยู่ทางตอนเหนือและทางตะวันออกของจังหวัด เนื่องจากทำเลที่ตั้งดังกล่าวจึงทำให้จังหวัดอุตรดิตถ์มีอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวในฤดูร้อน มีอากาศฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดูฝน และมีช่วงฤดูแล้งคั่นอยู่อย่างชัดเจนตั้งแต่ประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคม เดือนที่ร้อนที่สุดคือเดือนเมษายน จังหวัดอุตรดิตถ์ได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่ มรสุมตะวันออกเฉียงใต้ปกติจะมีแหล่งกำเนิดบริเวณทะเลอันดามัน ทำให้จังหวัดอุตรดิตถ์มีช่วงฤดูฝนกินระยะเวลาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายน โดยเดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยสูงที่สุด
ประชากรส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 99.66 นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท โดยประกอบอาชีพทางด้านการเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยใช้พื้นที่ในการทำการเกษตรประมาณร้อยละ 26.70 ของพื้นที่ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังประกอบอาชีพทางด้านปศุสัตว์ รวมทั้งมีการทำพืชไร่ปลูกผลไม้นานาชนิด โดยผลไม้ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดอุตรดิตถ์คือลางสาด
ส่วนการเดินทางมายังจังหวัดอุตรดิตถ์สามารถใช้เส้นทางได้หลายเส้นทาง ทั้งทางรถไฟ ทางรถโดยสารประจำทาง และทางรถยนต์ส่วนบุคคล สำหรับการเดินทางโดยเครื่องบิน จังหวัดอุตรดิตถ์เคยมีสนามบิน 1 แห่ง สำหรับการเดินทางพาณิชย์ แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว เนื่องจากไม่คุ้มทุน
สถานที่สำคัญภายในจังหวัดนั้น มีทั้งแหล่งโบราณสถาน เช่น วัดพระแท่นศิลาอาสน์ วัดพระฝางสว่างคบุรีมุนีนาถ วัดพระยืนพุทธบาทยุคล วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง ซากเมืองโบราณสมัยอาณาจักรสุโขทัย แหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติคลองตรอน อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน วนอุทยานต้นสักใหญ่ และแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมาย ทั้งน้ำตก เขื่อนสิริกิติ์ วัด พระพุทธรูปสำคัญของจังหวัด เป็นต้น
[แก้] พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
[แก้] สมัยก่อนประวัติศาสตร์
พื้นที่ตั้งตัวเมืองอุตรดิตถ์ในอดีต เป็นพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่ราบลุ่มอันเกิดจากดินตะกอนแม่น้ำพัดของแม่น้ำน่านที่เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานและประกอบกสิกรรมมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ปรากฏหลักฐานบริเวณรอบที่ตั้งตัวเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบันที่แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวและการตั้งถิ่นฐานของแหล่งชุมชนมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ดังการค้นพบเครื่องมือหินขัดและซากกระดูกมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านบุ่งวังงิ้วซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามตำบลบางโพ-ท่าอิฐ และการค้นพบกลองมโหระทึกสำริด, กาน้ำและภาชนะสำริดที่ม่อนศัลยพงษ์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตตำบลบางโพในปี พ.ศ. 24701[6]
[แก้] สมัยประวัติศาสตร์
พื้นที่ตั้งตัวเมืองอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ในทำเลที่ตั้งอันเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่มีความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้นในบริเวณแถบนี้จึงมีการเคลื่อนไหวและย้ายถิ่นฐานของผู้คนมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีท่าน้ำที่สำคัญ 3 ท่า คือ ท่าเซา ท่าอิด และท่าโพธิ์ ซึ่งมีความสำคัญและเจริญรุ่งเรืองมาแต่สมัยขอมปกครองท่าอิด ตั้งแต่ พ.ศ. 1400[7]
[แก้] เมืองท่าการค้าขายสำคัญ
ที่ตั้งของตัวเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบันมีที่มาจาก 3 ท่าน้ำสำคัญที่มีความสำคัญเป็นชุมทางค้าขายมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรขอม คือ
- ท่าอิด คือ บริเวณท่าอิฐบนและท่าอิฐล่างปัจจุบัน (อิฐหรืออิ๊ด เป็นภาษาเหนือ(คำเมือง) แปลว่า "เหนื่อย")[7]
- ท่าโพธิ์ คือ บริเวณวัดท่าถนน ตลาดบางโพ เนื่องจากมีต้นโพธิ์มาก มีคลองไหลผ่าน เรียกว่า คลองบางโพธิ์ (เพี้ยนมาเป็นบางโพ)
- ท่าเซา คือ บริเวณตลาดท่าเสา (เซา เป็นภาษาเหนือ(คำเมือง) แปลว่า "พักนอน")[7]
โดยความหมายตามภาษาคำเมืองดังกล่าว มาจากคำอธิบายของวิบูลย์ บูรณารมย์ ผู้แต่งหนังสือตำนานเมืองอุตรดิษฐ์ โดยได้อธิบายว่าคำว่า "ท่าอิด" (อิด แปลว่า "เหนื่อย") และ "ท่าเสา" (เซา แปลว่า "พักผ่อน") มีที่มาจากการเดินทางมาค้าขายที่ท่าอิดทางเรือ และทางบกของจังหวัดภาคเหนือ และภาคกลางสมัยโบราณ กว่าจะถึงก็เหนื่อยและต้องพักผ่อน[7]
สำหรับความหมายของท่าอิฐและท่าเสาในอีกความเห็นหนึ่งนั้น พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญพิเศษประจำกรมศิลปากร กล่าวไว้ในหนังสือของท่านคัดค้านการสันนิษฐานความหมายตามภาษาคำเมืองดังกล่าว โดยกล่าวว่า คำว่าท่าอิฐและท่าเสานั้นเป็นคำในภาษาไทยกลาง เพราะคนท่าอิฐและท่าเสาเป็นกลุ่มชนสุโขทัยดั้งเดิมที่ใช้กลุ่มภาษาไทยกลุ่มเมืองในแคว้นสุโขทัย เช่นเดียวกับชาวสุโขทัย นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก กำแพงเพชร และเช่นเดียวกับกลุ่มคนในตำบลทุ่งยั้ง บ้านพระฝาง เมืองพิชัย บ้านแก่ง และบ้านคุ้งตะเภา ซึ่งเป็นกลุ่มคนแคว้นสุโขทัยเดิมในจังหวัดอุตรดิตถ์เช่นเดียวกัน โดยคำว่าท่าเสานั้น มีความหมายโดยตรงเกี่ยวข้องกับการล่องซุงหมอนไม้ในสมัยโบราณเช่นเดียวกับชื่อนามหมู่บ้านหมอนไม้ (หมอนไม้ซุง) ซึ่งอยู่ทางใต้ของบ้านท่าอิฐ[8]
อย่างไรก็ดี จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แสดงให้เห็นว่าทั้งท่าอิฐและท่าเสานับเป็นท่าที่มีความเจริญทางการค้ามากกว่าทุกท่าในภาคเหนือ เป็นทั้งท่าจอดเรือ ค้าขายจากมณฑลภาคเหนือและภาคกลางรวมถึงเชียงตุง เชียงแสน หัวพันทั้งห้าทั้งหก สิบสองปันนา สิบสองจุไทย จนต่อมาแควน่านได้เปลี่ยนทางเดิน ทำให้หาดท่าอิดงอกออกไปทางตะวันออกมากทุก ๆ ปี ท่าอิดจึงเลื่อนตามลงไปเรื่อย ๆ เรียกว่าหาดท่าอิดล่าง ท่าอิดเดิมเรียกว่าท่าอิดบน ท่าอิดล่างก็ยังคงเป็นศูนย์การค้าสำคัญของภาคเหนือมาตลอดจนถึงสมัยรัชกาลที่ 6
[แก้] ปลายกรุงศรีอยุธยา-ต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ในช่วงสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมืองฝาง ซึ่งอยู่เหนือน้ำเมืองอุตรดิตถ์ได้กลายเป็นแหล่งชุมนุมสำคัญของประชาชน เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากการสงครามระหว่างไทย-พม่า ทำให้เกิดชุมนุมเจ้าพระฝางเป็นใหญ่เหนือหัวเมืองแถบนี้ ก่อนจะถูกปราบปรามลงได้ในภายหลัง
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ท่าอิดมีความเกี่ยวพันกับเมืองพิชัยอย่างแน่นแฟ้น โดยใช้เป็นที่พักทุกครั้งที่กรีธาทัพผ่านมาและใช้เป็นที่รวบรวมทัพก่อนขึ้นตีหัวเมืองฝ่ายเหนือและล้านนา สมัยก่อนนั้น การเดินทางและการขนส่งสินค้าเพื่อนำมาขายทางตอนเหนือมีสะดวกอยู่ทางเดียวคือ ทางน้ำ แม่น้ำที่สามารถให้เรือสินค้ารวมทั้งเรือสำเภาขึ้นลงได้สะดวกถึงภาคเหนือตอนล่างก็มีแม่น้ำน่านเท่านั้น เรือสินค้าที่มาจากกรุงเทพฯ หรือกรุงศรีอยุธยาก็จะขึ้นมาได้ถึงบางโพท่าอิฐเท่านั้น เพราะเหนือขึ้นไปแม่น้ำจะตื้นเขินและมีเกาะแก่งมาก ฉะนั้นตำบลบางโพท่าอิฐจึงเป็นย่านการค้าที่สำคัญ
[แก้] กำเนิดนามเมืองอุตรดิตถ์
โดยในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อุตรดิตถ์เป็นหัวเมืองชุมนุมการค้าที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในภาคเหนือ ทำให้ในปี พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญของเมืองแห่งนี้ในฐานะศูนย์กลางการค้าขายของแถบภาคเหนือตอนล่าง หรือเมืองท่าที่ตั้งอยู่ปลายเหนือสุดของการควบคุมด้วยอำนาจโดยตรงของ อาณาจักร จึงพระราชทานนามเมืองท่าอิดไว้ว่า "อุตรดิษฐ์"[10] (อุตร-ทิศเหนือ, ดิตถ์-ท่าน้ำ) แปลว่า "ท่าเรือด้านทิศเหนือของสยามประเทศ" (คำนี้ต่อมาเขียนเป็น "อุตตรดิตถ์ "[11] และ "อุตรดิตถ์" ดังที่ใช้ในปัจจุบัน)
พ.ศ. 2544 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองพิชัย ท่าอิด เมืองทุ่งยั้ง และเมืองลับแล ทรงเล็งเห็นว่าท่าอิดมีความเจริญ เป็นศูนย์ทางการค้า ประกอบกับมีเมืองลับแลอยู่ใกล้ ๆ เป็นเมืองรองลงไป การชำระคดีและการเรียกเก็บภาษีอากรสะดวกกว่าที่เมืองพิชัย แต่ท่าอิดในขณะนั้นยังคงมีฐานะเป็นเมืองท่าขึ้นต่อเมืองพิชัย ดังนั้น คดีต่าง ๆ ที่เกิดขั้นรวมทั้งการเก็บภาษีอากรส่วนใหญ่จึงอยู่ที่ท่าอิด ราษฎรต้องลงไปเมืองพิชัยติดต่อกับส่วนราชการเป็นการไม่สะดวก จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองพิชัยมาตั้งที่บริเวณท่าอิด ส่วนเมืองพิชัยเดิมว่าเรียกว่าเมืองพิชัยเก่า
[แก้] ที่พักทัพปราบกบฏเงี้ยว
พ.ศ. 2446 พวกเงี้ยวก่อการจลาจลที่เมืองแพร่ โดยมีประกาหม่องหัวหน้าเงี้ยวตั้งตนเป็นใหญ่[13] คบคิดกับเจ้าพิริยเทพวงษ์เจ้าผู้ครองนครแพร่[14][15] จับพระยาสุรราชฤทธานนท์ข้าหลวงประจำมณฑลกับข้าราชการไทย 38 คนฆ่าแล้วยกทัพลงมาจะยึดท่าอิด กองทัพเมืองอุตรดิตถ์โดยการนำของพระยาศรีสุริยราชวรานุวัติ เป็นผู้บัญชาทัพ พระยาพิศาลคีรี (ทัพ) ข้าราชการเกษียณอายุแล้วเป็นผู้คุมกองเสบียงส่ง โดยยกทัพไปตั้งรับพวกเงี้ยวที่ปางอ้อ ปางต้นผึ้ง พระยาศรีสุริยราชฯ จึงมอบหมายพระยาพิศาลคีรี เป็นผู้บัญชาการทัพแทน ทั้งนี้เนื่องจากเป็นผู้มีอาวุโสและกรำศึกปราบฮ่อที่หลวงพระบางมามาก พระยาพิศาลคีรีได้สร้างเกียรติคุณให้กองทัพไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยการปราบทัพพวกเงี้ยวราบคาบ ฝ่ายไทยเสียชาวบ้านที่อาสารบเพียงคนเดียว กอปรกับเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีซึ่งเป็นแม่ทัพจากกรุงเทพฯ ยกมาช่วยเหลือ[16]
[แก้] ยุคทางรถไฟถึงเมืองอุตรดิตถ์
พ.ศ. 2448-2451 ทางรถไฟได้เริ่มสร้างทางผ่านท่าโพธิ์และท่าเซา ซึ่งขณะนั้นบริเวณนี้ยังเป็นป่าไผ่อยู่ ไม่เจริญเหมือนท่าอิด กรมรถไฟจึงได้สร้างทางรถไฟแยกไปที่หาดท่าอิดล่าง ในปี พ.ศ. 2450 สมัยพระยาสุจริตรักษา (เชื้อ) เป็นเจ้าเมือง ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 กรมรถไฟได้สร้างสถานีรถไฟถึงบางโพธิ์และท่าเซา ทำให้ท่าโพธิ์และท่าเซาเจริญทางการค้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับที่ท่าอิดน้ำท่วมบ่อย การคมนาคมทางน้ำเริ่มลดความสำคัญลง การค้าที่ท่าอิดเริ่มซบเซา พ่อค้าเริ่มอพยพมาตั่งที่ท่าโพธิ์และท่าเซาเพิ่มมากขึ้น ท่าอิดเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ พ.ศ. 1400 ก็เสื่อมความนิยมลง และได้ย้ายศูนย์กลางการค้ามาที่ตลาดท่าโพธิ์และตลาดท่าเสาในเวลาต่อมา
ต่อมาหลังจากการตัดเส้นทางรถไฟผ่านเมืองอุตรดิตถ์สำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ทำให้แหล่งชุมนุมการค้าย่านท่าเสาและท่าอิฐเริ่มหมดความสำคัญลง เพราะรถไฟสามารถวิ่งขึ้นเมืองเหนือได้โดยไม่ต้องหยุดขนถ่ายเสบียงที่เมืองอุตรดิตถ์ และประกอบกับการที่ทางราชการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ปิดกั้นแม่น้ำน่านในเขตอำเภอท่าปลาในปี พ.ศ. 2510 ทำให้การคมนาคมทางน้ำยุติลงสิ้นเชิง โดยในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2500 นั้น เส้นทางคมนาคมทางถนนในจังหวัดอุตรดิตถ์มีเพียงไม่กี่เส้นทาง และด้วยทำเลที่ตั้งและความไม่สะดวกในการคมนาคมทางถนนในช่วงนั้นดังกล่าว ทำให้ตัวเมืองอุตรดิตถ์ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภาคเหนือกลายเป็นเมืองในมุมปิด ไม่เหมือนเมื่อครั้งการคมนาคมทางน้ำรุ่งเรือง และด้วยภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยดังกล่าว จึงทำให้ในช่วงต่อมารัฐบาลได้หันมาพัฒนาเมืองพิษณุโลกให้เป็นศูนย์กลางแห่งภาคเหนือตอนล่างแทน[17]
[แก้] อุตรดิตถ์ในปัจจุบัน
จนในปี พ.ศ. 2522 ทางการได้ตัดทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11 ทำให้เมืองอุตรดิตถ์เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและมีการพัฒนามากขึ้นตามลำดับ เพราะทางเส้นนี้เป็นเส้นทางส่วนหนึ่งของถนนสายเอเชียที่ตัดผ่านมาจากจังหวัดพิษณุโลกผ่านนอกเมืองอุตรดิตถ์เข้าสู่จังหวัดแพร่ ทำให้เส้นทางนี้กลายเป็นเส้นทางคมนาคมทางบกสายหลักของจังหวัดอุตรดิตถ์และกลายเป็นทางผ่านสำคัญเพื่อเข้าสู่ภาคเหนือตอนบน(ล้านนา)
สำหรับตัวเมืองอุตรดิตถ์นั้น ก็คงมีความเจริญขึ้นมาโดยลำดับเนื่องจากยังคงเป็นที่ตั้งของย่าน สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ทำให้ในปี พ.ศ. 2458 สมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีประกาศเปลี่ยนชื่อเมืองพิชัยมาเป็น เมืองอุตรดิตถ์ และในปีพ.ศ. 2495 เมืองอุตรดิตถ์จึงได้รับการยกฐานะจากเมืองอุตรดิตถ์ขึ้นเป็นจังหวัดอุตรดิตถ์ สืบจนปัจจุบัน
[แก้] สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
- ตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์
ตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ออกแบบโดย พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) ในปี พ.ศ. 2483 ตามนโยบายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น พระพรหมพิจิตรได้สนองนโยบายที่ให้นำปูชนียวัตถุสถานสำคัญของจังหวัดมาผูกเป็นตรา ท่านจึงได้นำรูปมณฑปประดิษฐานพระแท่นศิลาอาสน์ โบราณสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ มาประกอบผูกเข้าไว้เป็นตราประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ตราที่ผูกขึ้นใหม่นี้เขียนลายเส้นโดย นายอุณห์ เศวตมาลย์ ไม่มีรูปครุฑ, นามจังหวัดและลายกนกประกอบ ต่อมาทางราชการจึงได้เพิ่มรายละเอียดทั้งสามเข้าไว้ในตราจังหวัด ซึ่งตรานี้ยังคงใช้มาจนปัจจุบัน[18]
- คำขวัญประจำจังหวัดอุตรดิตถ์
| ||
คำขวัญประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ |
คำขวัญประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่งขึ้นในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ในสมัยนั้น ได้นำนโยบายนี้เข้าสู่ที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและมีการคิดประกอบคำขวัญจังหวัดอุตรดิตถ์ขึ้นเป็นตัวอย่าง เพื่อมอบให้วิทยาลัยครูอุตรดิตถ์กำหนดกรอบแนวคิดการประกวดคำขวัญประจำจังหวัดต่อไป อย่างไรก็ดีคำขวัญที่คิดในที่ประชุมส่วนราชการได้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางและเป็นที่รู้จักทั่วไป จึงไม่ได้มีการคิดประกวดคำขวัญใหม่ ทำให้คำขวัญดังกล่าวยังคงใช้เป็นคำขวัญประจำจังหวัดมาจนปัจจุบัน[18]
- ต้นไม้ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ |
- ดอกไม้ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ |
- เพลงประจำจังหวัด
อุตรดิตถ์เมืองงาม | |
เปิดฟัง ตัวอย่างบทเพลง อุตรดิตถ์เมืองงาม |
- หากไม่ได้ยินเสียง โปรดดูเพิ่มที่ media help
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ |
- วิสัยทัศน์จังหวัดอุตรดิตถ์
- เมืองแห่งคุณภาพชีวิต ผลผลิตปลอดภัย บ้านเมืองน่าอยู่อาศัย ท่องเที่ยวธรรมชาติ วัฒนธรรมไทย ก้าวไกลสัมพันธ์เพื่อนบ้านยั่งยืน
ตราประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ | ดอกประดู่ (Pterocarpus indicus) ดอกไม้ประจำจังหวัด | สัก (Tectona grandis) ต้นไม้ประจำจังหวัด |
[แก้] ทำเนียบรายนามผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์
ลำดับ | รายนาม | ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง | ลำดับ | รายนาม | ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง |
---|---|---|---|---|---|
1 | พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร์ (โพ เนติโพธิ์) | พ.ศ. 2444-2446 | 2 | พระยาเทพาธิบดี (อิ่ม) | พ.ศ. 2446-2449 |
3 | พระยาสุจริตรักษา (เชื้อ) | พ.ศ. 2449-2450 | 4 | พระยาสุริยราชวราภัย (จร) | พ.ศ. 2450-2454 |
5 | พระยาวจีสัตยรักษ์ (ดิศ) | พ.ศ. 2454-2459 | 6 | พระยาพิษณุโลกบุรี (สวัสดิ์ มหากายี) | ดำรงตำแหน่งครั้งแรก พ.ศ. 2459-2459 |
7 | พระยาวโรดมภักดีศรีอุตรดิตถ์นคร (อั้น หงษนันท์) | พ.ศ. 2459-2467 | 8 | พระยานครพระราม (สวัสดิ์ มหากายี) | ดำรงตำแหน่งครั้งที่2 พ.ศ. 2467-2496 |
9 | พระยาวิเศษฤๅชัย (มล.เจริญ อิศรางกูร) | พ.ศ. 2469-2471 | |||
10 | พระยาวิเศษภักดี (ม.ร.ว.กมลนพวงษ์) | พ.ศ. 2471-2474 | |||
11 | พระยาอัธยาศัยวิสุทธิ์ (โชติ กนกมณี) | พ.ศ. 2474-2476 | 12 | พระประสงค์เกษมราษฎร์ (ชุ่ม) | พ.ศ. 2476-2478 |
13 | พระสนิทประชานันท์ (ทองอิน แสงสนิท) | พ.ศ. 2479-2481 | 14 | หลวงอุตรดิตถาภิบาล (เนื่อง ปาณิกบุตร) | พ.ศ. 2481-2482 |
15 | พระสมัครสโมสร (เสงี่ยม บุรณสมบูรณ์) | พ.ศ. 2483-2485 | 16 | ขุนพิเศษนครกิจ (ชุบ กลิ่นสุคนธ์) | พ.ศ. 2486-2487 |
17 | ขุนระดับคดี (ปัญญา รมยานนท์) | พ.ศ. 2487-2488 | 18 | ขุนอักษรสารสิทธิ์ (ละมัย สารสิทธิ์) | พ.ศ. 2488-2490 |
19 | ขุนสนิทประชาราษฎร์ (สนิท จันทร์ศัพท์) | พ.ศ. 2490-2491 | 20 | นายพ่วง สุวรรณรัฐ | พ.ศ. 2491-2492 |
21 | นายเกษม อุทยานิน | พ.ศ. 2492-2492 | 22 | ร.ท.ถวิล ระวังภัย | พ.ศ. 2492-2493 |
23 | ขุนจรรยาวิเศษ (เที่ยง บุญยนิตย์) | พ.ศ. 2493-2495 | 24 | ขุนรัฐวุฒิวิจารย์ (สุวงศ์ วัฎสิงห์) | พ.ศ. 2495-2497 |
25 | ขุนสนิทประชากร (กุหลาบ ศกรมูล) | พ.ศ. 2497-2501 | 26 | นายสง่า ศุขรัตน์ | พ.ศ. 2501-2506 |
27 | นายประกอบ ทรัพย์มณี | พ.ศ. 2506-2509 | 28 | พล.ต.ต.สามารถ วายวานนท์ | พ.ศ. 2509-2510 |
29 | นายเวทย์ นิจถาวร | พ.ศ. 2510-2513 | 30 | นายเวียง สาครสินธุ์ | พ.ศ. 2513-2515 |
31 | นายดิเรก โสตสถิตย์ | พ.ศ. 2515-2516 | |||
32 | นายวิจิน สัจจะะเวทะ | พ.ศ. 2516-2518 | 33 | พล.ต.ต.ศรีศักดิ์ ธรรมรักษ์ | พ.ศ. 2518-2519 |
34 | นายเลอเดช เจษฎาฉัตร | พ.ศ. 2519-2522 | 35 | นายกาจ รักษ์มณี | พ.ศ. 2522-2526 |
36 | นายธวัช มกรพงศ์ | พ.ศ. 2526-2530 | 37 | นายธวัชชัย สมสมาน | พ.ศ. 2530-2531 |
38 | นายสุพงศ์ ศรลัมพ์ | พ.ศ. 2531-2532 | 39 | นายศรีพงศ์ สระวาสี | 1 มิ.ย. พ.ศ. 2532-30 ก.ย. พ.ศ. 2534 |
40 | นายชัยวัฒน์ อรุโณทัยวิวัฒน์ | 1 ต.ค. พ.ศ. 2534-30 ก.ย. พ.ศ. 2536 | 41 | นายสมบัติ สืบสมาน | 5 ต.ค. พ.ศ. 2536-30 มี.ค. พ.ศ. 2540 |
42 | นายนิรัช วัจนะภูมิ | 31 มี.ค. พ.ศ. 2540-5 เม.ย. พ.ศ. 2541 | 43 | นายชัยพร รัตนนาคะ | 16 เม.ย. พ.ศ. 2541-30 ก.ย.พ.ศ. 2542 |
44 | นายสิทธิพร เกียรติศิริโรจน์ | 1 ต.ค. พ.ศ. 2542-30 ก.ย. พ.ศ. 2545 | 45 | นายปรีชา บุตรศรี | 1 ต.ค. พ.ศ. 2545-30 ก.ย. พ.ศ. 2548 |
46 | ร.ต.ท.อุปฤทธิ์ ศรีจันทร์ | 1 ต.ค. พ.ศ. 2548-12 พ.ย. พ.ศ. 2549 | 47 | นายสมบูรณ์ ศรีพัฒนาวัฒน์ | 13 พ.ย. พ.ศ. 254930 กันยายน 2550 |
48 | นายธวัชชัย ฟักอังกูร | 1 ต.ค. พ.ศ. 255030 กันยายน 2552 | 49 | นายโยธินศร์ สมุทรคีรีจ์ | 1 ต.ค. พ.ศ. 2552ปัจจุบัน |
[แก้] สภาพภูมิศาสตร์
[แก้] ที่ตั้งและอาณาเขต
จังหวัดอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ใต้สุดของภาคเหนือ โดยมีพื้นที่ประมาณ 7,854 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 25 ของประเทศ มีจังหวัดที่มีอาณาเขตติดกัน ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดแพร่
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีเขตแนวพรมแดน 120 กิโลเมตร
- ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดพิษณุโลก
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดสุโขทัย
ภูมิประเทศทางตอนเหนือและทางตะวันออกของจังหวัดส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่สูง ทิวเขาเหล่านี้ต่อเนื่องมาจากจังหวัดแพร่และจังหวัดน่าน
ภาพถ่ายทางอากาศ ตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ในอดีต เห็นทิวเขาสลับซับซ้อนเขตติดต่อจังหวัดแพร่ได้ชัดเจน | ทะเลหมอก บนจุดชมวิวเขาพลึง (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11) รอยต่อจังหวัดแพร่-อุตรดิตถ์ | อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด สูงประมาณ 2,102 เมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ |
[แก้] ภูมิประเทศและภูมิอากาศ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ |
[แก้] หน่วยการปกครอง
[แก้] การปกครองส่วนภูมิภาค
การปกครองแบ่งออกเป็น 9 อำเภอ 67 ตำบล 562 หมู่บ้าน
[แก้] การปกครองส่วนท้องถิ่น
จังหวัดอุตรดิตถ์แบ่งพื้นที่เพื่อการบริหารราชการ ส่วนภูมิภาคเป็น 9 อำเภอ 67 ตำบล 613 หมู่บ้านโดยมีอำเภอดังนี้ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ อำเภอตรอน อำเภอทองแสนขัน อำเภอท่าปลา อำเภอน้ำปาด อำเภอบ้านโคก อำเภอพิชัย อำเภอฟากท่า และอำเภอลับแล และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 ประเภท ประกอบด้วย
- องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง
- เทศบาลเมือง 1 แห่ง
- เทศบาลตำบล 15 แห่ง
- องค์การบริหารส่วนตำบล 63 แห่ง
[แก้] ความมั่นคง
ค่ายทหารในจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นค่ายทหารที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรักษาความสงบในจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งค่ายทหารทั้งหมดของจังหวัดอุตรดิตถ์มีศูนย์บัญชาการอยู่ที่ มณฑลทหารบกที่32 จังหวัดลำปางมีจำนวน 2 ค่าย ดังนี้
- ค่ายพิชัยดาบหัก จังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ กองพันทหารม้าที่7 กรมทหารม้าที่2 อำเภอเมืองอุตรดิตถ์
- ค่ายพระศรีพนมมาศ กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 20 อำเภอลับแล
[แก้] เศรษฐกิจ
จังหวัดอุตรดิตถ์มีผลผลิตสาขาที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของจังหวัดคือ สาขาการเกษตร รองลงไปคือการอุตสาหกรรม การประมง และการพาณิชย์
- พืชเศรษฐกิจของจังหวัดที่สำคัญคือ ลางสาดมีการปลูกมากที่สุดในประเทศ นอกจากนี้ก็มี ทุเรียน เงาะมังคุด สับปะรด ลำไย ส่วนพืชไร่ที่เป็นพืชเศรษฐกิจคือ ข้าว อ้อย ข้าวโพด กระเทียม ถั่วต่างๆ และยาสูบ เป็นต้น
- มีพื้นที่ปลูกอ้อยมากเพราะมีโรงงานน้ำตาลถึง 2 แห่ง มีโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋อง โรงงานผลิตไวน์ลางสาด โรงงานผลิตเส้นหมี่ โรงงานผลิตดินขาว โรงงานถลุงแร่ขนาดเล็ก เป็นต้น
- มีการทำอุตสาหกรรมในครัวเรือนหลายอย่างเช่น การทำไม้กวาดตองกง การทอผ้า การจักสานเครื่องใช้ไม้ไผ่ การทำเครื่องปั้นดินเผา การตีเหล็กทำเครื่องใช้เกษตรกรรมและทำมีด เป็นต้น
- สภาพความคล่องตัวของเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตเมืองอุตรดิตถ์ อำเภอลับแล อำเภอพิชัย มีธนาคารพาณิชย์คอยให้บริการอยู่หลายแห่ง จากสภาพทั่วไปแล้วจังหวัดอุตรดิตถ์มีค่าครองชีพของประชากรอยู่ในระดับปานกลาง
[แก้] ทรัพยากรธรรมชาติ
จังหวัดอุตรดิตถ์มีทรัพยากรป่าไม้ที่สมบูรณ์ มี ทรัพยากรแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แร่พลวง เหล็ก ทองแดง ยิปซั่ม ใยหิน ดินขาว ทัลค์ แต่ยังไม่ได้นำไปใช้ในทางเศรษฐกิจ และมีแหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แม่น้ำน่าน ไหลผ่านเขตจังหวัดเป็นระยะความยาวถึง 160 กิโลเมตร แม่น้ำปาด ห้วยพูล คลองแม่พร่อง ห้วยน้ำพี้ คลองตรอน ห้วยน้ำลอก นอกจากนั้นมีเขื่อนและฝาย กักเก็บน้ำเพื่อการชลประทาน คือ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนดินแซดเดิ้ล ฝายสมเด็จฯ ฝายหลวงลับแล และ ซึ่งเป็นฝายแรกของประเทศไทย
[แก้] อุตสาหกรรม
ทางด้านอุตสาหกรรมของจังหวัดอุตรดิตถ์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน คือ อุตสาหกรรมแปรรูปผลไม้ อุตสาหกรรมน้ำตาล อุตสาหกรรมทอผ้า และอุตสาหกรรมน้ำปลา ส่วนในเรื่องของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เช่น เหมืองแร่ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ ยังไม่เกิดขึ้นในจังหวัดอุตรดิตถ์ ถึงแม้อุตรดิตถ์จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ต่างๆก็ตาม
[แก้] ประชากร
ประชากรท้องถิ่นดั้งเดิมของจังหวัด คือชนพื้นถิ่นสุวรรณภูมิ (กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมในสุวรรณภูมิ) ผู้เป็นเจ้าของซากโครงกระดูกและเครื่องมือหินและสำริดสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบในจังหวัด ต่อมาพื้นที่ตั้งเมืองอุตรดิตถ์เป็นทางผ่านสำคัญมาตั้งแต่สมัยอารยธรรมดองซอน ทำให้มีการเคลื่อยย้ายผู้คนมาจากที่ต่าง ๆ มากขึ้น เรื่อยมาในสมัยทวารวดีและอาณาจักรขอมดังปรากฏหลักฐานเมืองโบราณที่เวียงเจ้าเงาะ จนมาในสมัยสมัยสุโขทัยได้มีเมืองเกิดขึ้นมากมาย เช่น เมืองฝาง, เมืองทุ่งยั้ง, เมืองตาชูชก และเมืองพิชัย และด้วยการเป็นเส้นทางการค้าทางน้ำ ทำให้ชาวเมืองอุตรดิตถ์ในสมัยโบราณมีที่มาจากหลายเผ่าพันธ์ แต่กลุ่มชาติพันธ์ที่มีวัฒนธรรมสืบเนื่องมาจนปัจจุบันคือกลุ่มชนไทยเดิม หรือคนไทยสืบมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยดั้งเดิม และกลุ่มชนล้านนา (ไทยวน) ที่อพยพจากเชียงแสนมาอาศัยอยู่ในแถบอำเภอลับแล ชนสองกลุ่มนี้ตั้งถิ่นฐานขึ้นเป็นเมืองอย่างมั่นคงมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
จนสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการกวาดต้อนผู้คนและการอพยพย้ายถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธ์ล้านช้าง (ลาว) จากทั้งเมืองเวียงจันทร์และเมืองหลวงพระบาง ลงมาตั้งถิ่นฐานในเขตอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดมากขึ้น และได้มีชาวจีนโพ้นทะเลอพยพย้ายถิ่นฐานมาตั้งหลักแหล่งทำมาค้าขายในแถบเมืองท่ามากเป็นลำดับ จึงทำให้เมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบันกลายเป็นเมืองที่มีกลุ่มชนมากถึง 4 วัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข[17]
จำนวนประชากรในอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดอุตรดิตถ์ (ปี 2551 จังหวัดอุตรดิตถ์มีประชากรทั้งสิ้น 464,205 คน ประชากรชาย 229,207 คน ประชากรหญิง 234,998 คน) | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
| |||||||
อันดับ | อำเภอ | จำนวนประชากร |
| ||||
1 | อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ | 85,124 | |||||
2 | อำเภอพิชัย | 73,119 | |||||
3 | อำเภอลับแล | 37,142 | |||||
4 | อำเภอท่าปลา | 42,951 | |||||
5 | อำเภอตรอน | 30,888 | |||||
6 | อำเภอน้ำปาด | 29,558 | |||||
7 | อำเภอทองแสนขัน | 28,021 | |||||
8 | อำเภอฟากท่า | 14,359 | |||||
9 | อำเภอบ้านโคก | 10,618 |
[แก้] ศาสนา
ประชากรท้องถิ่นดั้งเดิมของจังหวัด คือชนพื้นถิ่นสุวรรณภูมิ นับถือผีที่เป็นความเชื่อแบบโบราณเป็นหลัก สังเกตได้จากร่องรอยการใส่ภาชนะและข้าวของเครื่องใช้ลงในหลุมฝังศพตามความเชื่อในเรื่องโลกหน้าของคนโบราณในหลุมขุดค้นทางโบราณคดีบ้านบุ่งวังงิ้ว
อย่างไรก็ตามศาสนาแรกที่ชาวอุตรดิตถ์รับมานับถือสันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธศาสนา เพราะปรากฏหลักฐานโบราณสถานทางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดที่ พระมหาสถูปแห่งเมืองฝาง จากตำนานที่กล่าวว่าเป็นพระสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระทันตธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้รับมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระสมณทูตคือพระโสณะและพระอุตตระมาประกาศพระศาสนาที่สุวรรณภูมิ และแม้ว่าตำนานนี้อาจจะเป็นเรื่องที่แต่งเสริมความศรัทธาในภายหลัง แต่พระมหาสถูปแห่งเมืองฝางก็คงสร้างมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย พร้อม ๆ กับการสถาปนาเมืองฝางสวางคบุรีให้เป็นเมืองหน้าด่านทิศตะวันออกสุดแห่งอาณาจักรสุโขทัย (สว่างคบุรี-เมืองที่รับแสงอรุณแห่งแรกของอาณาจักรสุโขทัย) [17]
ปัจจุบัน ประชากรของจังหวัดอุตรดิตถ์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทลังกาวงศ์ ประมาณ 99.66% มีจำนวนวัดในพระพุทธศาสนาถึง 312 วัด พระสงฆ์สามเณรกว่าพันรูป[19] นอกจากนั้นยังมีศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ซึ่งเข้ามาเผยแพร่ในภายหลัง ส่วนใหญ่จะเป็นคนนอกพื้นที่ ที่อพยพย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดอุตรดิตถ์ในช่วงไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมา
[แก้] การศึกษา
จังหวัดอุตรดิตถ์นับได้ว่าเป็นจังหวัดหนึ่งที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนกระทั่งถึงระดับอุดมศึกษา ในระดับปฐมวัยและระดับมัธยมศึกษานั้น ดูแลโดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุตรดิตถ์ แบ่งออกเป็น 2 เขต โดยแต่ละเขตจะรับผิดชอบการศึกษาของแต่ละอำเภอในจังหวัดอุตรดิตถ์
นอกจากนี้ ยังมีการจัดการเรียนในระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์ (และที่เปิดสาขาเป็นศูนย์การศึกษาอุตรดิตถ์) ดังต่อไปนี้
- ระดับอุดมศึกษา
- มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
- มหาวิทยาลัยนเรศวร ศูนย์วิทยบริการ จังหวัดอุตรดิตถ์ (โรงเรียนอุตรดิตถ์ดรุณี)
- มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ศูนย์บริการการศึกษาจังหวัดอุตรดิตถ์ (โรงเรียนอุตรดิตถ์)
- มหาวิทยาลัยรามคำแหง ศูนย์บริการการศึกษาจังหวัดอุตรดิตถ์ (วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์)
- มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หน่วยวิทยบริการจังหวัดอุตรดิตถ์ (วัดหมอนไม้)
- วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดอุตรดิตถ์ (โรงพยาบาลอุตรดิตถ์)
- ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ (สถาบันร่วมผลิตแพทย์ แห่ง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร)
- อาชีวศึกษา
- วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์
- วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์
- วิทยาลัยสารพัดช่างอุตรดิตถ์
- วิทยาลัยการอาชีพพิชัย
- โรงเรียนอุตรดิตถ์เทคโนโลยี
- โรงเรียนอุตรดิตถ์บริรักษ์
- หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหารจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์
สำหรับโรงเรียน ดูที่ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดอุตรดิตถ์
[แก้] ประเพณีและวัฒนธรรม
สภาพพื้นที่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่ในเขตรอยต่อแห่งวัฒนธรรมล้านนา ล้านช้าง และภาคกลาง เป็นผลให้ลักษณะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ภาษาถิ่นและงานประเพณีพื้นบ้านต่างๆ มีลักษณะผสมผสาน ประชากรบางส่วนพูดภาษาไทยภาคกลาง บางส่วนพูดภาษาไทยภาคเหนือ (คำเมือง) บางส่วนพูดภาษาลาว และบางส่วนพูดภาษาท้องถิ่นของตน เช่น บ้านทุ่งยั้ง เป็นต้น
[แก้] งานเทศกาล และงานประจำปีจังหวัดอุตรดิตถ์
- งานเทศกาลพระยาพิชัยดาบหักและงานกาชาดประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ (7-16 มกราคม ของทุกปี)
- งานเทศกาลลางสาดหวาน และสินค้าOTOPเมืองอุตรดิตถ์ (ประมาณเดือนกันยายนและตุลาคมของทุกปี)
- งานเทศกาลทุเรียน และผลไม้เมืองลับแล ณ เทศบาลตำบลหัวดง อำเภอลับแล ในระหว่างวันที่ 19-22 พฤษาคม พ.ศ. 2552 (กำหนดการจะอยู่ในช่วงเดือนพฤกษาคม มิถุนายน กรกฎาคม)
- งานประเพณีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันอัฐมีบูชา (จัดในระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน หก ถึง วันแรม 8 ค่ำ เดือน หก และเป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่ยังมีประเพณีนี้อยู่)
- ประเพณีแข่งขันพายเรือยาวประจำปี (22-24 สิงหาคม ของทุกปี จัดโดย เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ บริเวณลานเอกประสงค์ริมน้ำน่าน อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ )
- งานเทศกาลเฉลิมฉลองฉลองไหลแพไฟเฉลิมพระเกียรติ พิธีขอบคุณพืชพันธุ์ธัญญาหารและสายน้ำ (วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี บริเวณลานอเนกประสงค์ริมน้ำน่าน อำเภอตรอน)
- งานเทศกาลดอกฝ้ายบาน (จัดกลางเดือนธันวาคมของทุกปีบริเวณสนามกีฬาอำเภอบ้านโคก )
[แก้] การละเล่นพื้นบ้าน
จังหวัดอุตรดิตถ์มีการละเล่นพื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์หลายชนิดมากมาย ซึ่งทั้งที่เป็นของภาคเหนือ ภาคกลางและลาว โดยการละเล่นดนตรีไทยเดิมแบบภาคกลางยังคงมีผู้สืบต่อมาจนปัจจุบัน ทั้งภูมิปัญญาในการทำเครื่องดนตรีและการละเล่น เช่น ดนตรีมังคละ (มีการละเล่นกันอยู่ในอำเภอพิชัย) และวงปี่พาทย์ แต่สำหรับการละเล่นพื้นบ้านส่วนใหญ่นอกจากนี้ได้สาบสูญไปเกือบจะหมดสิ้นเนื่องจากไม่มีผู้ใดสืบสานต่อ
[แก้] ของดีเมืองอุตรดิตถ์
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ |
|
[แก้] โรงพยาบาล
- โรงพยาบาลอุตรดิตถ์
- โรงพยาบาลพญาอุตรดิตถ์
- โรงพยาบาลสมิติเวช
- โรงพยาบาลพิษณุเวช
- โรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก
[แก้] การคมนาคม
[แก้] ทางรถไฟ
จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นที่ตั้งของย่านสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ และเป็นศูนย์การขนส่งสินค้าทางรถไฟของภาคเหนือ จากสถานีรถไฟกรุงเทพมหานคร (หัวลำโพง) มีขบวนรถไฟมายังจังหวัดอุตรดิตถ์ทุกวัน วันละหลายขบวน ทั้งรถด่วนพิเศษระหว่างประเทศ รถด่วนพิเศษ (เชียงใหม่-กรุงเทพ , กรุงเทพ-เชียงใหม่ และศิลาอาสน์-กรุงเทพ , กรุงเทพ-ศิลาอาสน์ ) รถด่วน รถเร็ว และรถท้องถิ่น
[แก้] ทางรถโดยสารประจำทาง
จากสถานีขนส่งสายเหนือ มีรถยนต์โดยสารธรรมดา และรถโดยสารปรับอากาศ จากกรุงเทพฯ สู่อุตรดิตถ์ทุกวันวันละหลายเที่ยวบริษัทที่ให้บริการเดินทางรถประจำทางทั้ง รถปรับอากาศชั้นที่1 ชั้น2 และรถโดยสารธรรมดา นอกจากนี้จากสถานีขนส่งอุตรดิตถ์ สามารถเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย ดังนี้
ภาคเหนือตอนบน
- เชียงใหม่ เด่นชัย ลำปาง ลำพูน
- แม่สาย เชียงราย ผ่าน เด่นชัย แพร่ พะเยา
- เชียงของ แพร่ เชียงคำ เทิง
- น่าน แพร่
ภาคเหนือตอนล่าง
- ตาก ศรีสัชนาลัย สุโขทัย
- นครสวรรค์ พิษณุโลก พิจิตร กำแพงเพชร
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- อุดรธานี นครพนม พิษณุโลก นครไทย ด่านซ้าย เลย ภูกระดึง หนองบัวลำภู สกลนคร
- พิษณุโลก หล่มสัก ชุมแพ
- นครราชสีมา พิษณุโลก สากเหล็ก เขาทราย สระบุรี
- อุบลราชธานี พิษณุโลก ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ
ภาคตะวันออก
- พัทยา ระยอง พิษณุโลก สระบุรี ปราจีนบุรี ชลบุรี
[แก้] ทางรถยนต์ส่วนบุคคล
จากกรุงเทพมหานคร ใช้เส้นทางสายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 ผ่านอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท เข้านครสวรรค์ แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 117 เข้าพิษณุโลก แล้วเดินทางตามเส้นทางสายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11(พิษณุโลก-อุตรดิตถ์)จนถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ รวมระยะทางทั้งสิ้น 491 กม.
[แก้] การเดินทางสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
จังหวัดอุตรดิตถ์ มีพรมแดนติดกับ เมืองปากลาย แขวงไซยะบูลี ประเทศ สปป. ลาว ทางอำเภอบ้านโคกและน้ำปาด เมื่อ พ.ศ. 2552 ทางคณะรัฐมนตรี มีมติให้ยกระดับ ช่องภูดู่ ตำบลม่วงเจ็ดต้น อำเภอบ้านโคก เป็นด่านชายแดนสากล ดังนั้นการเดินทางผ่านแดนเข้าออกสู่ประเทศลาว สามารถทำได้อย่างสะดวก ณ ที่ทำการด่าน ตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศ สปป. ลาว
การเดินทางสู่ประเทศลาวเริ่มจากด่านภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ ถึงหลวงพระบาง เป็นระยะทางประมาณ 320 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง
- ด่านภูดู่ -ปากลาย 30 กม.
- ปากลาย-ไซยะบูลี 168 กม.
- ไซยะบูลี -ท่าเรือเฟอรี่ 30 กม. (ข้ามแม่น้ำโขง)
- ท่าเรือเฟอรี่-เชียงเงิน 60 กม.
- เชียงเงิน-หลวงพระบาง 27 กม
ในปัจจุบันทางส่วนใหญ่เป็นทางลูกรังที่สามารถเดินทางได้ทุกฤดกาลจนถึงเชียงเงิน จากนั้นเป็นทางราดยางจนถึงหลวงพระบาง อย่างไรก็ตามในอนาคตเส้นทางดังกล่าวจะถูกพัฒนาเป็นถนนระหว่างประเทศระดับมาตรฐาน (R4 Highway) เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดในการเดินทางจากพรมแดนประเทศไทยสู่หลวงพระบาง
[แก้] สถานที่สำคัญ
[แก้] โบราณสถาน
- วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ (วัดโบราณสมัยสุโขทัย)
- วัดพระแท่นศิลาอาสน์ (วัดโบราณสมัยสุโขทัย)
- วัดพระยืนพุทธบาทยุคล (วัดโบราณสมัยสุโขทัย)
- วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง (วัดโบราณสมัยสุโขทัย)
- บ่อเหล็กน้ำพี้ (แหล่งเหมืองเหล็กกล้าแร่น้ำพี้โบราณสมัยสุโขทัย)
[แก้] พระอารามหลวง
[แก้] ๙ พระพุทธรูปสำคัญในจังหวัดอุตรดิตถ์
- หลวงพ่อเพ็ชร (วัดท่าถนน) พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดอุตรดิตถ์
- พระฝางทรงเครื่อง (จำลอง) (วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ) พระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิราชสมัยอยุธยาที่สวยที่สุดในประเทศไทย
- หลวงพ่อพุทธรังสี (วัดพระยืนพุทธบาทยุคล)
- หลวงพ่อธรรมจักร (วัดพระแท่นศิลาอาสน์)
- หลวงพ่อสุโขทัยสัมฤทธิ์ (วัดคุ้งตะเภา)
- หลวงพ่อเชียงแสน (วัดธรรมาธิปไตย)
- หลวงพ่อสุวรรณเภตรา (วัดคุ้งตะเภา)
- หลวงพ่อสัมฤทธิ์ (วัดหมอนไม้)
- หลวงพ่อโต (วัดหน้าพระธาตุ อำเภอพิชัย)
[แก้] เขื่อน
- เขื่อนสิริกิติ์
- เขื่อนดินช่องเขาขาด
- อ่างเก็บน้ำคลองตรอน
- เขื่อนทดน้ำผาจุก (โครงการของกรมชลประทานปี 2553)
[แก้] สถานที่ท่องเที่ยว
ดูเพิ่มได้ที่ รายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอุตรดิตถ์
[แก้] บุคคลสำคัญจากจังหวัดอุตรดิตถ์
[แก้] ด้านการศาสนา
- พระนิมมานโกวิท (หลวงปู่ทองดำ)
[แก้] ด้านการศึกษา
- เกรียง กีรติกร เสาเอกแห่งประถมศึกษาไทย
- พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านโบราณคดี กรมศิลปากร
[แก้] ด้านการเมืองการปกครอง
- พระยาพิชัยดาบหัก
- เจ้าพระฝาง
- พระยาพิศาลคีรี(ทัพ)
- พระศรีพนมมาศ อำมาตย์ตรีเกษตร (ทองอิน แซ่ตัน)
- พลโทจำลอง โพธิ์ทอง อดีตรองแม่ทัพภาค 3
- ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
- ดร.ดิเรกกช ภณก้อนกลีบ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน
- ราศรี บัวเลิศ นักเศรษฐศาสตร์ และเจ้าของ แชลเล้นจ์ กรุ๊ป
[แก้] ด้านศิลปวัฒนธรรม
- ยิ่งใหญ่ อารยนันท์ นักแสดงอาวุโส
- สุนทร คมขำ หรือ (กล้วย เชิญยิ้ม) ดาราตลก
- อาณัติ สายทวี (อาหรั่ง) นักร้อง นักแสดง
- ชูศักดิ์ ราศรีจันทร์ (ต๊ะ ท่าอิฐ) นักเขียน
- ไพโรจน์ ใจสิงห์ นักแสดง และผู้กำกับภาพยนตร์
- ชมพู่ กลิ่นจำปา หรือ (ชมพู่ ก่อนบ่าย) นักร้อง และดาราตลก
- วัชระ วิไลสุทธิวงศ์ (เอ็ม A9)ดาวรุ่งลูกทุ่งไทยแลนด์ นักร้อง
[แก้] ด้านกีฬา และนันทนาการ
- นฤมล ศิริวัฒน์ ผู้จัดการฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย และ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดอุตรดิตถ์
- นที ทองสุขแก้ว นักฟุตบอลทีมชาติไทย ตำแหน่งกองหลัง
- วัลลภา ตั้งจิตนุสรณ์ นักกรีฑาหญิงทีมชาติไทย
- จิรพงษ์ เลียงกลกิจ นักยิมนาสติกทีมชาติไทย
- สุรพล สีแดงน้อย แชมป์นักมวยโลก รุ่นแบนตั้มเวท
- เรวัติ กิจประเสริฐกุล นักเทนนิสทีมชาติไทย
- พีระ กุนชวน นักกีฬาทีมชาติบาสเกตบอล
- มรกต เนียมพุ่มพวง นักกีฬาบาสเกตบอลทีมชาติไทย
- พ.ต.บัญญัติ อารีพงษ์ นักกีฬาบาสเกตบอลทีมชาติไทย
[แก้] นางสาวไทย
- นางสาวกนกวฤนธ์ เชียงส่ง เข้ารอบ 18 คนสุดท้าย ปี 2551
- นางสาวครุสุดา วันมา เข้ารอบ 18 คนสุดท้าย ปี 2552
ดูเพิ่มได้ที่ ชาวอุตรดิตถ์
[แก้] เชิงอรรถ
หมายเหตุ 1: นายแจ้ง เลิศวิลัย เป็นผู้พบกลองมโหระทึกสมัยก่อนประวัติศาสตร์ดังกล่าว โดยได้ขุดพบที่ตำบลท่าเสา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ในปี พ.ศ. 2470 และได้ส่งมอบให้แก่ทางราชการ ปัจจุบันกลองมโหระทึกดังกล่าวตั้งแสดงอยู่ในพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร[22]