สิงห์เฒ่าตะลอนทัวร์ดานูบตะวันออก (ภาคสุดท้าย)
โดย...Tigger
หลังรอนแรมในดินแดนฝั่งขวาของดานูบตะวันออกมาพอหอมปากหอมคอ ก็ถึงเวลาข้ามไปสัมผัสดินแดนฝั่งซ้ายของพวกฝ่ายซ้ายกันบ้างเด้อ ลาวหรืออาณาจักรล้านช้างแต่ปางก่อนเป็นประเทศที่มีสัมพันธไมตรีอันแนบแน่นกับอาณาจักรสยามมานานโข ภายหลังตกเป็นเมืองขึ้นของสยามในสมัยกรุงธนบุรี ต่อมาช่วงต้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์กษัตริย์ล้านช้างทรงกำเริบเสิบสานโดยยกมาตีโคราชขณะที่เจ้าเมืองไปราชการต่างถิ่น แต่ในที่สุดก็ตกหลุมพรางคุณหญิงโมภรรยาเจ้าเมือง และถูกจับกุมในเวลาต่อมาจนสิ้นพระชนม์ในคุกที่บางกอก
หลังจากนั้นสยามได้ตัดไฟแต่ต้นลมโดยยกทัพไปกำราบล้านช้าง รวมทั้งทำลายพระราชวังและวัดวาอารามในนครเวียงจันทน์ราบเป็นหน้ากลองจนมีสถานที่สำคัญหลงเหลือเพียงไม่กี่แห่ง...มิน่าเล่าชาวลาวจึงบ่ชอบให้ชาวไทยเรียกว่าบ้านพี่เมืองน้องด้วยเหตุนี้กระมัง
ครั้นถึงรัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวงเป็นยุคไล่ล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก ฝรั่งเศสเจ้าเล่ห์เพทุบายบังคับให้สยามยกดินแดนฝั่งซ้ายของลำน้ำโขงเพื่อรวบหัวรวบหางเป็นอินโดจีนของฝรั่งเศส ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินแดนอินโดจีนถูกกองทัพญี่ปุ่นรุกราน เมื่ออ้าย (=พี่) ปลาดิบม้วนเสื่อกลับไปหลังปราชัยในสงคราม อ้ายน้ำหอมจึงกลับเข้ามาเป็นใหญ่ในลาวอีกครั้ง พร้อม ๆ กับที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ค่อยคืบคลานเข้ามาในภูมิภาคนี้โดยเริ่มที่เวียดนาม
หลังจากน้องญวนปลดแอกจากอ้ายน้ำหอมได้ จึงทำให้อำนาจของฝรั่งเศสสั่นคลอนจนต้องยอมจำนนให้ลาวได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2496 แต่ยังคงปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ต่อมาขบวนการคอมมิวนิสต์แผ่อิทธิพลเข้ามาในลาวจนเกิดการปฏิวัติและเป็นฝ่ายมีชัยชนะในปี 2518 ลาวจึงพลิกแผ่นดินเป็นระบอบสาธารณรัฐโดยใช้ชื่อว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวหรือเรียกย่อ ๆ ว่า สปป.ลาว
การเยือนลาวคราวนี้ข่อยเลือกใช้บริการบริษัททัวร์ที่หนองคาย เพราะการขับรถยนต์ส่วนตัวเข้าไปในลาวนั้นยุ่งยากเอาการอยู่ นอกจากคนขับต้องมีใบขับขี่นานาชาติแล้วรถยนต์ก็ต้องมีพาสพอร์ตด้วยเช่นกัน แถมยังต้องปวดกระบาลกับการขับรถคนละฝั่งถนนกับบ้านเราอีกต่างหาก...คนขับรถของบริษัททัวร์มารับถึงที่พำนักแล้วพาข้ามขัว (=สะพาน) มิดตะพาบไทย-ลาว การผ่านแดนของแต่ละฝั่งนั้นจะใช้พาสพอร์ตหรือทำใบผ่านแดนแบบไปเช้าเย็นกลับก็ได้ สภาพการจราจรแถบนี้ขวักไขว่พอควร และมีรถโดยสารประจำทางปรับอากาศวิ่งไป-กลับระหว่างอุดรธานี-หนองคาย-เวียงจันทน์ด้วย
เมื่อถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งลาวก็มีไกด์สาวชาวลาวชื่อ ปี้ คอยต้อนรับพร้อมเปลี่ยนเป็นรถใหญ่ (=รถยนต์) ทะเบียนลาว น้องปี้เน้นย้ำว่าชื่อของตนเป็นคำในภาษาลาวแปลว่าตั๋ว บ่ใช่ภาษาไทยเด้อ...นับเป็นโชคอย่างมหันต์ที่ถนน 4 เลนไป
นครเวียงจันทน์ เพิ่งแล้วเสร็จเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ตามรายทางมีโฮงงานขนาดเล็กหลายแห่ง ทั้งโฮงงานน้ำหวาน (=น้ำอัดลม) โฮงงานเบียร์ และฮ้านไม้ 2 ชั้นขายรถจักร (=รถมอเตอร์ไซค์) โดยนำรถจักรจอดโชว์บนทางเท้า ดูเหมือนฮ้านขายกาแฟซะมากกว่า ประมาณ 20 กม.ก็ถึงเมืองหลวงที่มีความหมายว่า เมืองแห่งพระจันทร์
สถานที่สำคัญแห่งแรก คือ พระธาตุหลวง บริเวณทางเข้าด้านหน้ามีซุ้มประตูปูนลวดลายงามแฉล้มแช่มช้อย ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงสร้างถวายพระธาตุหลวง ถัดมาเป็นลานกว้างที่ประดิษฐานพระบรมรูปพระไชยเชษฐาธิราชทรงถือพระแสงดาบไว้บนพระเพลา จนโจษจันกันว่าทรงมีภารกิจในการปกปักรักษาพระธาตุหลวง กษัตริย์ล้านช้างพระองค์นี้มีความสนิทชิดเชื้อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์แห่งกรุงศรีอยุธยา...
ด้านหลัง คือ พระธาตุหลวง ซึ่งเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของประเทศและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวลาว สร้างมาแต่ครั้งโบราณกาล พอถึงรัชสมัยพระไชยเชษฐาธิราชทรงโปรดให้ย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมายังนครเวียงจันทน์ จึงทรงสร้างพระธาตุหลวงองค์ใหม่ครอบพระธาตุองค์เดิมเมื่อ พ.ศ. 2109 องค์พระธาตุเป็นศิลปะล้านช้างสีทองอร่ามงามหลายในทุกมุม รายล้อมด้วยเจดีย์และระเบียงสูงที่เปรียบประดุจป้อมปราการ ซ้ายมือขององค์พระธาตุเป็นอุโบสถงดงามหลาย
ถัดมาด้านหน้าเป็นศาลาใหญ่โตมโหฬารซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง สอบถามได้ความว่าหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธร่วมสมทบสร้างถวาย บริเวณด้านขวาและด้านนอกซุ้มประตูมีสินค้าพื้นเมืองนานาชนิดให้ชาวเมืองพี่ได้ผ่องถ่ายความมั่งคั่งกันอย่างสนุกสนาน
จากนั้นไปแหกตา (=ถ่ายรูป) ที่ ประตูชัย ซึ่งสร้างในปี พ.ศ.2512 เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงชาวลาวผู้สละชีพในสงครามก่อนการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ และยังเป็นหลักฐานสำคัญของสายสัมพันธ์สองแผ่นดินลาวและฝรั่งเศสก็ว่าได้ เพราะเป็นสถาปัตยกรรมที่ประยุกต์ประตูชัยในปารีสผสมผสานด้วยภาพนูนปูนปั้นศิลปะแบบลาว บนยอดประตูชัยเป็นจุดชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ ซึ่งต้องปีนป่ายขึ้นไปถึง 7 ชั้น แต่ได้คลายเหนื่อยเป็นระยะที่ฮ้านขายของที่ระลึกลอยฟ้า ทัศนียภาพโดยรอบดูน่าอภิรมย์ซึ่งประตูชัยเปรียบเสมือนจุดนัดพบของผู้คนและถนนทุกสาย กว่าจะไต่กลับลงมาได้ก็แสนละเหี่ยเพลียกาย ขอบใจหลายที่น้องปี้จัดน้ำและผ้าอนามัย (=ผ้าเย็น) ไว้บริการ อีกฉายาของประตูชัยแห่งนี้ คือ รันเวย์แนวตั้ง เพราะแรกเริ่มเดิมทีอ้ายมะกันตั้งใจสั่งปูนซีเมนต์เพื่อสร้างเป็นเดินยนต์ (=สนามบิน) ในนครเวียงจันทน์ แต่ปรากฏว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้คอมมิวนิสต์ไปเสียก่อน
จากประตูชัยมีถนนสายหลักที่เชิดหน้าชูตานามว่า ล้านช้าง โดยมีสถานที่ราชการอยู่เรียงรายทั้งสองฝั่ง ถนนสายนี้ไปบรรจบกับถนนไชยเชษฐาธิราชซึ่งเป็นที่ตั้งของ หอคำ ตึก 2 ชั้นสไตล์ตะวันตก ซึ่งฝรั่งเศสก่อสร้างไว้เพื่อเป็นเรือนรับรองของผู้ตรวจราชการในยุคอาณานิคม ต่อมาเคยเป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิต (=กษัตริย์) ปัจจุบันเป็นที่พำนักของประธานประเทศและไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชม น้ำพุบริเวณด้านหน้าช่วยบรรเทาเบาบางความน่าเกรงขามลง
ใกล้ ๆ กันเป็น หอพระแก้ว สร้างขึ้นในสมัยพระไชยเชษฐาธิราชในช่วงไล่เลี่ยกับพระธาตุหลวง เพื่อเป็นสถานที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่อัญเชิญมาจากล้านนา พอถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีล้านช้าง และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางกลับมาด้วย จนกระทั่งเมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี จึงทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม...หากน้องลาวเว่า (=พูด) ว่าอ้ายไทยยึดพระแก้วมรกตมาครอบครองไว้ อ้ายก็เถียงได้เต็มปากเต็มคำว่าพระแก้วมรกตเคยประดิษฐานอยู่ที่ล้านนามาก่อนซึ่งภายหลังอยู่ในอาณาเขตประเทศสยาม..แม่นบ่
เมื่อผลัดแผ่นดินสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงประทานพระบางคืนให้แก่ล้านช้างเพื่ออัญเชิญไปประดิษฐานที่หลวงพระบาง วันนั้นชาวคณะเราต้องหลีกทางให้เยาวชนชาติไทยกลุ่มใหญ่ที่มาทัศนศึกษาถึงเวียงจันทน์ แถมยังแขวนป้ายยี่ห้อทัวร์ไทยเดียวกับชาวคณะเราอีกต่างหาก ว่ากันว่าหมู่เฮาชาวเสื้อเหลืองคละเคล้าชมพูเป็นนักท่องเที่ยวรายสำคัญที่นำรายได้มาพัฒนาชาติลาวเลยทีเดียว..อะไรจะปานนั้น สุดท้ายไปสักการะ เจ้าแม่สีเมือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวลาวนับถือทั่วบ้านทั่วเมือง ณ วัดสีเมือง
ข้าวสวาย (=อาหารกลางวัน) เป็นแบบไทย ๆ ที่ภัตตาคารแม่ของ (=แม่โขง) ซึ่งใหญ่โตโอ่โถงตั้งอยู่ริมโขงตรงข้าม อ.ศรีเชียงใหม่ แม้รสชาติอาหารจะพอประทังชีวิต แต่ชาวเราก็ได้เอ้อระเหยลอยใจไปตามลำน้ำโขงอีกครั้ง ยามบ่ายเป็นการตระเวนเบิ่ง (=ดู) นครหลวงของประเทศที่มีประชากรเพียง 6 ล้านคน มองไปหนใดก็เห็นแม่หญิงลาวไว้ผมยาวนุ่งซิ่นกันทั่วบ้านทั่วเมืองบ่เว้นแม้แต่นักเรียนตัวน้อย สบายตาสบายใจหลายๆ...
สำหรับตึกรามบ้านช่องก็สูงสุดเพียง 4-5 ชั้นเท่านั้น ที่ทำการศาลนั้นดูทันสมัย แต่บรรยากาศเงียบสงัด น้องปี้เว่าว่ามีคดีความน้อยเพราะคนเมืองน้องบ่ค่อยทะเลาะกัน แหม..ช่างผิดแผกแตกต่างจากคนบ้านพี่จริง ๆ เด้อ แถมคนลาวยังรักเกียรติโดยจะซื้อสินค้าด้วยเงินสดเท่านั้น บ่นิยมเป็นเศรษฐีเงินผ่อนให้ต้องฟ้องร้องกันวุ่นวาย นี่แหล่ะเศรษฐกิจพอเพียงขนานแท้
เมื่อผ่านโฮงหมอ (=โรงพยาบาล) แล้วต้องสังเวชใจในความเก่าคร่ำครึจนบ่แน่ใจว่าจะมีโอกาสรอดกลับมาหากต้องเข้าไปรักษา ฝรั่งเศสแทบบ่ได้ทิ้งความศิวิไลซ์ไว้ให้ลาวเลย และการกลายสภาพเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ก็บ่ได้หมายความว่าประชาชนจะมีความเป็นอยู่เท่าเทียมกัน หากสยามบ่ต้องสูญเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่โขงไป อาณาจักรล้านช้างที่อยู่ภายใต้การปกครองของสยามคงเจริญบ่แพ้อาณาจักรล้านนา
มรดกที่ลาวรับจากฝรั่งเศส คือ วัฒนธรรมการกินขนมปังฝรั่งเศสหรือที่ชาวลาวเรียกว่า ข้าวจี่ เป็นข้าวเซ่า (=อาหารเช้า) เท่านั้น ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่เว่าภาษาฝรั่งเศสบ่ได้แล้ว แต่สนทนาภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วด้วยเบิ่งหนังฟังเพลงจากเมืองไทยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนรัฐบาลลาวเริ่มหวั่นเกรงว่าภาษาลาวจะถูกกลืนไป ความจริงภาษาลาวนั้นเป็นภาษาที่ซื่อ ๆ ง่าย ๆ บ่ได้ประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำดังเช่นภาษาไทย และตัวอักษรลาวนั้นละม้ายคล้ายตัวอักษรในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมากกว่าตัวอักษรไทยในปัจจุบันเสียอีก
จากนั้นเป็นรายการกระจายรายได้สู่เมืองน้อง ตลาดเซ่า หรือตลาดเช้าซึ่งเป็นศูนย์การค้า 3 ชั้นที่ใหญ่ที่สุดในลาว มีสินค้าประเภทเครื่องเงิน ของที่ระลึก สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งจีน รัสเซีย และเวียดนาม ฮ้านทุกแห่งหนยินดีรับเงินบาทเด้อ ก่อนลาจากลาวมีฮ้านค้าปลอดภาษีบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองให้ได้กระเป๋าแฟบอีกครั้ง ป้ายราคาสินค้าติดเป็นเงินบาทเอาใจนักช้อปชาวไทย แต่ราคาสินค้าบางรายการแพงกว่าข้างนอกเสียอีก แถมบ่แน่ใจว่าจะได้ของแท้
หนองบัวลำภู
หลังซอกซอนในเมืองน้องกันแล้วก็กลับคืนรัง โดยยังคงวนเวียนอยู่แถบเทือกเขาภูพาน หนองบัวลำภูเป็นจังหวัดใหม่ล่าสุดซึ่งเคยอยู่ในเขตจังหวัดอุดรธานี เดิมเป็นเมืองโบราณที่มีอยู่ยาวนานกว่า 900 ปีมาก่อน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาพระองค์ดำทรงเคยยกทัพมาตั้งค่ายพักแรมที่นี่เพื่อช่วยพระเจ้ากรุงหงสาวดีตีเวียงจันทน์ แต่ต้องทรงยกทัพกลับเพราะทรงประชวรด้วยไข้ทรพิษ ด้วยเหตุนี้จึงมีศาลของพระองค์ท่านอยู่ในตัวเมือง และมีการจัดงานวันสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในวันกองทัพไทยทุกวันที่ 25 มกราคม
เส้นทางจากอุดรไปยังหนองบัวลำภูนั้นผ่านหมู่บ้านโค้งสวรรค์ ซึ่งมีชื่อเสียงด้านหัตถกรรมปั้นหม้อ ก่อนถึงตัวเมือง 13 กม. เป็นที่ตั้งวัดพระถ้ำกลองเพล ของ หลวงปู่ขาว อนาลโย พระวิปัสสนากรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บริเวณริมถนนหน้าวัดมีรูปปั้นของหลวงปู่ขาวเป็นจุดสังเกต เดิมวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง ภายในถ้ำเป็นอุโบสถที่มีพระพุทธรูปประดิษฐานบนก้อนหินรวมทั้งกลองโบราณขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัด
นอกจากนี้ ยังมีอนุสรณ์สถานให้รำลึกถึงหลวงปู่ขาวด้วย เลยไปอีกประมาณ 2 กม.เป็นมีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ สุสานหอยหิน 150 ล้านปี ซึ่งแสดงซากสัตว์โลกยุคจูราสสิค ทั้งฟอสซิลหอยน้ำจืด และชิ้นส่วนไดโนเสาร์ เช่น ฟัน รอยเท้า ไข่ที่มีขนาดเท่าลูกบอลล์ใบย่อม แหม..เจอะเจอฟอสซิสอย่างนี้อาจมีแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงใต้พิภพก็เป็นได้ บริเวณนี้ยังมี ศาสสมเด็จพระนเรศวรฯ และห้องแสดงประวัติของพระองค์ท่านด้วย กลางวันนั้นพวกเรากลับไปกินอาหารญวนในตัวเมืองอุดร
ขอนแก่น
ดินแดนดอกคูนเสียงแคนแห่งนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานทั้งทางอารยธรรมและธรรมชาติ ตั้งแต่การค้นพบซากไดโนเสาร์หลายสายพันธุ์ซึ่งครองโลกเมื่อนับร้อยล้านปีมาแล้ว ตามด้วยการตั้งหลักปักฐานของชุมชนโบราณก่อนประวัติศาสตร์ จวบจนยุคปัจจุบันขอนแก่นเป็นศูนย์กลางของภาคอีสานทั้งในด้านทำเลที่ตั้งและศูนย์กลางการศึกษา สำหรับที่มาของชื่อของจังหวัดนั้นมีหลายความเห็น แต่แนวคิดหนึ่งว่ามาจากพระธาตุขามแก่น ปูชนียสถานคู่บ้านเมืองในวัดเจติยภูมิ มีตำนานเล่าขานกันว่าในขณะที่ขบวนอัญเชิญพระธาตุผ่านมาบริเวณนั้น ซากตอมะขามที่ตายแล้วกลับงอกงามเขียวชอุ่มชุ่มชื่นเหมือนถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง จึงได้สร้างพระธาตุขึ้น บรรดาสิงห์เฒ่าตั้งใจไปนมัสการพระธาตุองค์นี้ แต่เผอิญหลงทางไปเสียก่อนเลยพลาดโอกาสชุบชีวิตดังเช่นตอมะขาม จึงต้องทนแห้งเหี่ยวต่อไป...
จากนั้นแวะเก็บสัมภาระที่ แคคตัส โรงแรมขนาดเล็กที่ตกแต่งทันสมัยเหมาะกับนักธุรกิจยุคอินเตอร์เนต แล้วชม วัดพระธาตุหนองแวง เพื่อนมัสการพระธาตุหนองแวงที่เป็นฉัตร 7 ชั้นสีทองอร่ามงามตายิ่ง ภายในอุโบสถมีมัคคุเทศก์น้อยคอยนำเที่ยว วัดนี้ยังเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างอีกด้วย แล้วบึ่งไปยังบริเวณบึงแก่นนคร ซึ่งเป็นที่ตั้ง โฮงมูนมังเมืองขอนแก่น พิพิธภัณฑ์ที่แสดงรากเหง้าความเป็นมาของเมืองขอนแก่นด้วยสื่อผสมผสานที่น่าตื่นตาตื่นใจทั้งบอร์ดกราฟฟิก วิดีโอ หุ่นจำลองใกล้ ๆ กันในบริเวณริมบึงแก่นนครเป็นที่ประดิษฐาน เจ้าแม่กวนอิม ที่ชาวเมืองเคารพนับถือยิ่ง
ค่ำนั้นไปเปิปอาหารอีสานเป็นการอำลาที่ สวนอาหารบัวหลวง ในบึงแก่นนคร แซ่บอีหลีทั้งลาบเป็ด ตำถั่วหมูกรอบ และแกงอ่อมไก่ ภายใต้บรรยากาศสุดแสนธรรมชาติจากเสียงแหวกว่ายของปลาสวายตัวบักเอ้ก (=ใหญ่) ที่กระโดดแย่งขนมปังดังเป็นระยะ ๆ เอ๊ะ..ชักสงสัยว่าร้านนี้ลุกล้ำที่สาธารณะหรือเปล่านี่
รุ่งขึ้นขอตบท้ายการตะลอนทัวร์ด้วยไข่กระทะที่ร้าน เอมโอช นัวอีหลีสมชื่อร้านเด้อ เฮ้อ..คงเบื่อไปอีกนานแสนนาน
แล้วยังได้มีโอกาสชิม ข้าวจี่ แบบไทยบ่ใช่แบบลาว ซึ่งเป็นข้าวเหนียวชุบไข่โรยด้วยเกลือแล้วนำไปปิ้ง โดยมีขายกันเกลื่อนกลาดดาษดื่นในตอนเช้า...เส้นทางจากขอนแก่นไปโคราชผ่านหมู่บ้านชนบท ใน อ.ชนบท ซึ่งมีผ้าไหมมัดหมื่เป็นสินค้า OTOP ให้ชาวคณะได้เมามันส์คันกระเป๋ากันอีกครั้ง
นครราชสีมา
จังหวัดนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน แต่เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณ 2 แห่ง คือ โคราช และเสมา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองในปัจจุบัน ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยามีฐานะเป็นเมือง เจ้าพระยามหานคร เช่นเดียวกับเมืองนครศรีธรรมราชในภาคใต้ จึงมีอำนาจปกครองหัวเมืองน้อยใหญ่อีกหลายแห่ง จนถึงปัจจุบันนครราชสีมาที่ยังคงความสำคัญไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
หลังท้องยุ้งพุงกระสอบกันมาหลายทิวาราตรี เที่ยงนั้นสิงห์เฒ่าพักกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาก่อนส่งใจไปกราบอำลาย่าโม ตามรายทางจากโคราชถึงกรุงเทพยังมีจุดให้หมุนเงินสู่ชุมชนอีกหลายแห่ง ทั้งเครื่องปั้นดินเผา ข้าวโพดหวานปากช่อง รวมทั้งน้อยหน่าหางดง
การตะลอนทัวร์ครั้งนี้ม่วนซื่นหลาย (=สนุกสนานมาก) ทั้งได้ประเทืองปัญญากับประวัติศาสตร์แห่งเสี้ยวขวานทอง รื่นรมย์ชมลำน้ำสำคัญที่เปรียบเสมือนสายโลหิตแห่งภูมิภาคนี้ เพลิดเพลินเจริญปากด้วยอาหารหลากสัญชาติ จรุงจิตจรรโลงใจในธรรมะ ณ อุทยานธรรมหลายแห่ง รวมทั้งซาบซึ้งในน้ำใจของผู้ดีศรีอีสานที่ช่วยบอกทางอย่างละเอียดลออจนบางครั้งคิดว่าช่างรังวัดมาเอง นอกจากนี้ การได้ไปสัมผัสประเทศที่พัฒนาน้อยกว่าและมีระบอบการปกครองที่ผิดแผกจากประเทศเรา ช่วยเพิ่มความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยเฉพาะได้สำนึกในพระบารมีปกเกล้าที่ทรงคุ้มครองให้พวกเราได้อยู่อย่างร่มเย็นและเป็นอิสระสมชื่อ ไทย ตราบจนทุกวันนี้...