การสร้างวัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture Buiding)
คนที่มีความรู้ความสามารถและสติปัญญาที่ชาญฉลาดหรือคนที่มี IQ (Intelligence Quotient)สูงนั้นมักจะประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงานในระดับหนึ่ง แต่คนที่มีไอคิวสูงและมีอีคิว (Emotional Quotient) สูงด้วย คนๆนั้นจะสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จในชีวิตในด้านต่างๆได้สูงกว่า เพราะคนที่มีความฉลาดอย่างเดียวอาจจะตกหลุมพลางทางอารมณ์ก็ได้ เราจะเห็นคนบางอาชีพที่เราให้การยอมรับว่าคนเหล่านั้นจะมีไอคิวสูงเพราะคนที่สอบเข้าเรียนในสาขานั้นๆได้จะต้องมีความรู้ความสามารถมาก แต่เราจะเห็นข่าวปรากฎออกมาเสมอว่าคนที่เราคิดว่าเขามีไอคิวสูงนั้น ได้ทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าคนธรรมดาเขาจะทำกัน เช่น คดีฆ่าหั่นศพ ถึงแม้เขาจะมีความรู้ในการหั่นศพสูงเพียงใดก็ตาม แต่เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือมีความรอบคอบไปหมดทุกอย่าง และสุดท้ายก็ต้องจนมุมตำรวจด้วยพยานและหลักฐานที่เขาคิดไม่ถึง
ที่เกริ่นมาทั้งหมดเพียงต้องการยกตัวอย่างให้เห็นว่าความสามารถ(ไอคิว)เพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถช่วยให้คนเป็นคนดีมีคุณภาพได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีอีคิวควบคู่กันไป
ถ้าเราหันมามองตัวองค์กรที่เราทำงานอยู่จะเห็นว่าองค์กรนั้นมีลักษณะที่ไม่แตกต่างไปจากคน องค์กรเองจะต้องให้ความสำคัญกับทั้งไอคิวและอีคิว ไอคิวขององค์กรคือศักยภาพในการบริหารงานที่เกิดจากความสามารถของคนในองค์กร ความทันสมัยของเทคโนโลยี รวมถึงเครื่องมือทางการจัดการอื่นๆที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้องค์กรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องควบคุมอารมณ์ขององค์กร บางคนอาจจะงงๆว่าองค์กรจะมีอารมณ์ได้อย่างไร อารมณ์ขององค์กรคือผลรวมของอารมณ์ของคนในองค์กรนั่นแหละครับ ถ้าคนในองค์กรมีลักษณะที่เก่งอย่างเดียว เกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เล่นการเมืองกัน สักวันอารมณ์ขององค์กรอาจจะระเบิดออกมาที่เรามักจะเห็นกันอยู่ทั่วไป เช่น เกิดการแตกแยกของผู้บริหารจนต้องมีการขายหุ้น ขายกิจการ การบริหารที่ประสบกับภาวะขาดทุน บางองค์กรถึงขั้นล้มละลายหรือเลิกกิจการไปก็มี
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นผมจึงขอใช้คำว่า "วัฒนธรรมองค์กร" แทนคำว่า "อารมณ์ขององค์กร" เพราะมันคือเรื่องเดียวกัน วัฒนธรรมองค์กรนี่เองเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงระดับอีคิวขององค์กรนั้นๆว่าเป็นอย่างไร องค์กรใดมีวัฒนธรรมองค์กรที่เหมาะสมและแข็งแกร่งจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคความยากลำบากในภาวะวิกฤตได้ดีกว่าองค์กรอื่นเสมอ บางองค์กรประสบภาวะขาดทุนมาก แต่คนในองค์กรมีความรักยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อให้องค์กรอยู่ได้ ไม่ยอมจากเมื่อองค์กรลำบาก ทุกคนมีความเชื่อและทุ่มเทให้กับองค์กร อย่างเต็มที่จนในที่สุดสามารถนำพาองค์กรผ่านวิกฤติไปได้
เราจะเห็นความสำคัญของพลังที่เกิดจากวัฒนธรรมองค์กรได้ชัดเจนจากองค์กรที่เป็นลัทธิต่างๆ ที่ทุกคนถูกหล่อหลอมเข้าไปสู่เบ้าหลอมทางความคิดเดียวกัน คนพวกนี้จะยึดมั่นและศรัทธาในสิ่งที่เป็นแก่นหรือความเชื่อขององค์กร (Core Value) อย่างเหนียวแน่น ไม่ว่าผู้นำจะสั่งซ้ายหรือขวาทุกคนจะปฏิบัติตาม เราจะเห็นว่าคนบางคนยอมแม้กระทั่งสละชีพตัวเองเพื่อให้แก่นของความเชื่อยังคงอยู่ต่อไป
สำหรับในองค์กรทางธุรกิจเราคงไม่จำเป็นต้องทำให้วัฒนธรรมองค์กรของเราแข็งเหมือนลัทธิใดๆ แต่เราต้องให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ด้วย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่องค์กรไม่มีจุดศูนย์รวมของสิ่งที่เรียกว่าอีคิวขององค์กรแล้ว ความเสี่ยงในการบริหารงานก็ย่อมมีสูง
จากความสำคัญของวัฒนธรรมองค์กรที่ได้กล่าวมาแล้ว ผมจะขอแนะนำแนวทางในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรเพื่อให้เป็นอีคิวขององค์กรด้วยแนวทางดังนี้
- กำหนดลักษณะของวัฒนธรรมองค์กร
การกำหนดลักษณะของวัฒนธรรมองค์กรให้กำหนดจากวิสัยทัศน์และภารกิจขององค์กร เพราะวิสัยทัศน์เปรียบเสมือนเป้าหมายสุดท้ายที่เราอยากจะไปถึง สำหรับวัฒนธรรมองค์กรจะบอกเราว่าองค์กรต้องมีลักษณะใดจึงจะทำให้เดินทางไปถึงเป้าหมายได้เร็วและมีประสิทธิภาพ
- วิเคราะห์ช่องว่างระหว่างวัฒนธรรมที่ต้องการจะมีกับวัฒนธรรมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อเรากำหนดวัฒนธรรมองค์กรที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์เรียบร้อยแล้ว ให้วิเคราะห์ดูว่าลักษณะของวัฒนธรรมองค์กรที่ต้องการนั้นในปัจจุบันองค์กรเรามีบ้างหรือยัง มีมากน้อยเพียงใด มีครอบหรือไม่ เพื่อที่จะประเมินว่าภารกิจในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรมีมากน้อยเพียงใด
- กำหนดกลยุทธ์ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร
คำว่ากลยุทธ์หมายถึงแนวทางหรือสะพานเชื่อมช่องว่างระหว่างสิ่งที่เราเป็นอยู่ไปสู่สิ่งที่เราต้องการจะเป็น การกำหนดกลยุทธ์ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรนิยมทำกันใน 2 ลักษณะคือ
การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป จากวัฒนธรรมที่เปลี่ยนได้ง่ายไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยุ่งยาก หรืออาจจะเป็นการสร้างกระแสวัฒนธรรมใหม่กลบกระแสวัฒนธรรมเก่า การเปลี่ยนแปลงจะแทรกซึมอยู่ในทุกกิจกรรม เป็นการสร้างวัฒนธรรมแบบกองโจรเพราะเป็นการเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อคนในองค์กรน้อย แต่ต้องใช้ระยะเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่มีอายุยาวนานและมีวัฒนธรรมดั้งเดิมแข็งแกร่ง
การเปลี่ยนแบบผ่าตัด เป็นการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด อาจจะมีการเจ็บปวดบ้างในช่วงแรก แต่ได้ผลดีในระยะยาว เพราะทุกอย่างชัดเจน ทุกคนทราบว่าตัวเองจะอยู่ได้หรือไม่ได้ในวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ หลายองค์กรนิยมยืมมือบุคคลที่สามเข้ามาทำการผ่าตัด บางองค์กรมักจะผ่าตัดเพื่อกำหนดวัฒนธรรมองค์กรไปพร้อมๆกับการผ่าตัดโครงสร้างองค์กร เปรียบเสมือนกับการที่คุณหมอเปลี่ยนทัศนคติของคนไข้เมื่อคนไข้อยู่ในภาวะเจ็บป่วย เพราะในช่วงเวลานั้นคนไข้มักจะเชื่อฟังคุณหมอมากกว่าตอนที่ร่างกายเป็นปกติ
สรุปว่าถ้าเราต้องการให้องค์กรของเราเป็นองค์กรที่มีทั้งความฉลาดและอยู่รอดภายใต้การแข่งขันที่รุนแรง เราจะต้องพัฒนาทั้งไอคิว(ประสิทธิภาพการบริหาร) และอีคิว(วัฒนธรรมองค์กร)ควบคู่กันไป จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ถึงแม้วัฒนธรรมองค์กรจะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่เราสามารถสัมผัสได้ และการแข่งขันในอนาคตวัฒนธรรมองค์กรจะกลายเป็นเครื่องมือการจัดการที่สำคัญที่จะบ่งชี้ให้เห็นถึงความได้เปรียบหรือเสียเปรียบทางการแข่งขันบนเวทีของการค้าโลกที่หลากหลายวัฒนธรรม
ณรงค์วิทย์ แสนทอง