เทคนิคการพัฒนาตนสำหรับคนหางาน


780 ผู้ชม


เทคนิคการพัฒนาตนสำหรับคนหางาน




โดย ณรงค์วิทย์ แสนทอง   

การคัดเลือกคนเข้าทำงานในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต เริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการคัดเลือกคนเข้าทำงานถือเป็นด่านแรกและด่านสำคัญที่จะบ่งชี้การคัดเลือกคนในครั้งนั้น   องค์กรจะได้กำไรหรือขาดทุน  ถ้าได้คนเก่งคนดีและอยู่ได้นาน แสดงว่าได้กำไร แต่ถ้าได้คนไม่เก่ง ไม่ดีและอยู่กับองค์กรนานไม่ยอมไปไหน แสดงว่ามีแต่ขาดทุนกับขาดทุน การที่ได้คนไม่เก่งไม่ดีเข้ามาทำงาน นอกจากจะไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้แล้ว ยังจะสร้างภาระให้กับองค์กรเพิ่มมากขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นต้นทุน ศักยภาพของการแข่งขัน การเป็นตัวถ่วงความเจริญ และปัญหาสารพัดที่จะติดตามมา


เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายๆองค์กรจึงให้ความสำคัญกับการคัดเลือกคนมากขึ้น  มีการใช้เครื่องมือต่างๆเข้ามาช่วยในการทดสอบและคัดเลือกเพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่ต้องการให้มากที่สุด ข้อดีก็คือองค์กรจะได้คนที่ต้องการเข้ามาทำงาน ข้อเสียก็คือ เพิ่มความยากลำบากให้กับคนหางานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ตกงาน คนที่จบมาใหม่ๆ ส่วนคนที่มีงานทำอยู่แล้วคงไม่มีปัญหามากนัก เพราะถ้ายังไม่ได้งานก็ยังสามารถทำงานกับที่ทำงานปัจจุบันต่อไปได้  


ตลาดแรงงานในปัจจุบัน หลายองค์กรต้องการบุคลากรเข้าร่วมงานมาก แต่ทำไมหลายคนในตลาดยังไม่มีงานทำ ทั้งๆที่คุณสมบัติก็ตรงตามที่องค์กรต้องการ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่คนหางานประสบอยู่ก็คือ ไม่ทราบว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง จึงจะเข้าตากรรมการ(สัมภาษณ์) 

เพื่อให้ผู้ที่กำลังหางานมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าการหางานไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่เรื่องที่ยากคือเราจะพัฒนาศักยภาพของตัวเราเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานได้อย่างไร  ผมจึงขอแนะนำเทคนิคบางอย่างที่น่าจะนำไปใช้ได้ เช่น 

  • ติดตามข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารในด้านธุรกิจหรือข่าวสารในด้านอื่นๆ เพื่อให้เรามีความรู้ที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ความรู้เหล่านี้นอกจากจะใช้เป็นความรู้ทั่วไปแล้ว   เราสามารถทราบความเคลื่อนไหวในเชิงการบริหารจัดการขององค์กรต่างๆ ได้  ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาตัวเองให้สอดคล้องกับทิศทางการบริหารสมัยใหม่ได้มากยิ่งขึ้น เช่น  ถ้าเราทราบว่าแนวโน้มขององค์กรส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็น Internet หรือ e-commerce ก็ตาม เราก็สามารถนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ในการพัฒนาตัวเองไปก่อนก่อนที่จะเข้าไปทำงานในองค์กรจริง 
  • อ่านคู่มือการสัมภาษณ์ ผมอยากแนะนำให้ผู้หางานอ่านหนังสือคู่มือสำหรับผู้สัมภาษณ์ ไม่ใช่คู่มือสำหรับผู้ถูกสัมภาษณ์ เพราะจะได้เข้าใจว่าคำถามแต่ละคำถาม ผู้สัมภาษณ์ถามเพื่ออะไร ไม่ใช่รู้เพียงแต่จะตอบอย่างไร หรือถ้าให้ดีควรอ่านทั้งคู่มือสำหรับผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์   การอ่านคู่มือนี้จะช่วยให้เราเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการสอบสัมภาษณ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตรงกับคำพังเพยที่ว่า “รู้เขา รู้เรา สัมภาษณ์หลายครั้งน่าจะได้บ้างสักครั้ง” นะครับ 
  • ประกาศตัวเอง การหางานสมัยนี้จะต้องหางานในเชิงรุกมากขึ้น เรามัวแต่รีๆรอๆให้บริษัทเขาถือเทียบเชิญมารับถึงบ้านคงจะยากแล้วนะครับ  ให้คิดเสมอว่าการหางานคือการทำงานอย่างหนึ่ง ถ้าเราทำงานนี้ไม่สำเร็จ อย่าหวังเลยว่าเราจะทำงานอย่างอื่นที่ยากกว่านี้ได้  ตัวเราก็เปรียบเสมือนสินค้าอย่างหนึ่ง ถึงแม้จะมีคุณภาพดี แต่ถ้าผู้ซื้อไม่รู้จัก เขาก็ไม่ซื้อ ดังนั้น เราจะต้องเปิดตัวเองให้มากขึ้น ส่งประวัติไปทุกที่ที่มีช่องทาง  ทำความรู้จักกับคนทุกคนที่มีโอกาส  พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมกับสังคมต่างๆ    เพราะยิ่งเรามีสังคมมากเท่าไหร่โอกาสในการได้งานทำก็มีมากขึ้นเท่านั้น กิจกรรมไหนที่ไม่ต้องเสียกะตังก็รีบเข้าไปร่วม กิจกรรมไหนที่เสียตังก็ดูว่าเรามีกำลังหรือไม่ ถ้าเป็นคนที่จบใหม่ๆ ควรจะหาโอกาสอันดีที่จะเข้าไปพบปะและร่วมกิจกรรมทางสังคมที่มีผู้หลักผู้ใหญ่และผู้บริหารในวงการธุรกิจ  ผู้บริหารในหลายองค์กรใช้วิธีหาดาวรุ่งจากกิจกรรมทางสังคม เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปสัมภาษณ์ให้เมื่อย เขาสามารถดูความสามารถของเราจากการเข้าร่วมกิจกรรมจริงๆได้  การเข้าสังคมในลักษณะนี้เราไม่ควรหวังว่าเราจะต้องได้งานเสมอ แต่สิ่งที่เราได้แน่ๆคือประสบการณ์ชีวิต การเรียนรู้ภาษาในแวดวงธุรกิจและโอกาสในการพัฒนาตัวเอง 
  • ทำงาน Part -Time ไปก่อน คนที่จบมาใหม่ๆ ที่เริ่มท้อแท้กับการหางาน ขอให้ลดระดับความคาดหวังของตัวเองลงจากที่ต้องการทำงานประจำกับบริษัทชั้นนำลงมาสู่การเป็นลูกจ้างชั่วคราว หรือลูกจ้างของบริษัทรับเหมาที่รับเหมาแรงงานให้กับบริษัทชั้นนำ   เพราะสิ่งสำคัญที่เราหางานไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเราไม่เก่ง แต่เราไม่มีประสบการณ์ต่างหาก การเข้าไปทำงาน Part – Time ถือเป็นวิธีแก้ที่ถูกจุด เพราะเป็นช่องทางที่เราสามารถปิดจุดอ่อนเกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานได้ และในสมัยนี้ค่าตอบแทนของงาน Part – Time ไม่ได้ต่ำนะครับ เผลอบางครั้งค่าจ้างอาจจะสูงกว่างานประจำก็ได้ เพราะเขาถือว่าเป็นเพียงงานชั่วคราวหาคนยาก จึงต้องจ้างสูงกว่าปกติ หลายคนพอทำงานลักษณะนี้ไปนานๆ กลับไม่อยากไปทำงานประจำ เพราะรับงานชั่วคราวเป็นอาชีพ มีบริษัทต่างๆติดต่อเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยว่างงาน แถมรายได้ดีและงานไม่น่าเบื่อเพราะเปลี่ยนที่ทำงานอยู่เรื่อยๆ
  • เปลี่ยนเวลาว่างให้เป็นโอกาสเพื่อพัฒนาตัวเอง  ใครที่ว่างงานอยู่ขอให้คิดเสียว่าเรามีโอกาสเรื่องเวลาดีกว่าคนที่ทำงานอยู่  อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ใช้เวลาว่างพบปะผู้คน ท่องอินเตอร์เน็ต อ่านหนังสือเพิ่มเติม บำเพ็ญสาธารณประโยชน์  เราต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า “ความคิดเราไม่ว่างงาน”  เราจะต้องหางานให้กับความคิดของเราอยู่ตลอดเวลา  การได้งานทำถือเป็นเพียงหนึ่งกิจกรรมที่ใช้ในการพัฒนาความคิด ถ้าเราพัฒนาศักยภาพทางความคิดถึงระดับหนึ่งแล้ว เราอาจจะไม่จำเป็นต้องหางาน แต่เราสามารถสร้างงานด้วยตัวของเราเองได้ มีหลายคนที่นั่งอยู่เฉยๆ แต่เกิดความคิดบางอย่างที่จะสร้างงานให้กับตัวเอง จนร่ำรวยกันมามากแล้ว   
ดังนั้น ผมอยากให้กำลังใจกับคนที่กำลังหางานอยู่ว่า ไม่เคยมีใครตกงานตลอดชีวิต ถ้าเราตั้งใจ มุ่งมั่น สร้างสรรค์และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่โอกาสของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันบ้างเท่านั้นเอง บางคนได้งานเร็ว บางคนได้งานช้า บางคนได้งานดี บางคนได้งานไม่ดี บางคนได้งานแล้วตกงาน บางคนได้งานแล้วได้ตลอด  ชีวิตเอาแน่ไม่ได้ แต่สิ่งที่เอาแน่ได้แน่ๆคือคนเราต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะความสำเร็จในชีวิตขึ้นอยู่กับสองปัจจัยคือ “โอกาส” และ “ความสามารถ” คนที่มีความสามารถแต่ขาดโอกาส  ยังไม่น่าเสียใจเท่าคนที่มีโอกาสแต่ขาดความสามารถนะครับ แล้วท่านละจะเลือกเป็นคนประเภทไหน?


อัพเดทล่าสุด