โดยทั่วไปประสาทหูจะเริ่มเสื่อมลงตั้งแต่อายุ 20 ปี จนสร้างปัญหาเรื่องการได้ยินเมื่ออายุประมาณ 55-65 ปี
โดยทั่วไปประสาทหูจะเริ่มเสื่อมลงตั้งแต่อายุ 20 ปี จนสร้างปัญหาเรื่องการได้ยินเมื่ออายุประมาณ 55-65 ปี เมื่อหูเสื่อมแล้วไม่มีทางกลับมาได้ยินชัดเจนเหมือนเดิม ต้องอาศัยเครื่องช่วยฟังไปตลอดชีวิต ที่สำคัญเสียงจากเครื่องช่วยฟังไม่เสนาะหูเหมือนเสียงตามธรรมชาติ และอาจทำให้ผู้ที่ใช้ในระยะแรกๆ เป็นโรคซึมเศร้าด้วย
หูเสื่อม : โรคฮิตมาแรง (แซงทางโค้ง)
ประสาทหูเสื่อมหรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “หูเสื่อม” เป็นภาวะที่ได้ยินเสียงลดลง หรือไม่ได้ยินเลย เกิดจากการรับ เสียงดัง เกินไปและนานเกินไป แต่ปัญหาหูเสื่อมไม่จำเป็นต้องมาจากเสียงรบกวนเสมอไป อาจเกิดขึ้นจากเสียงที่พึงปรารถนาด้วยพฤติกรรมต่างๆ เช่น ติดนิสัยฟัง MP3 ตลอดเวลาโดยเปิดในระดับดังมากๆ การเที่ยวกลางคืนบ่อยๆ ทำให้เซลล์รับเสียงคลื่นในความถี่ 2,000-6,000 เฮิร์ตท์ (Hz) ถูกกระทบกระเทือนจนทำงานไม่ได้ ผู้ป่วยจึงไม่ได้ยินเสียงพูดคุยระดับปกติและต้องฟัง เสียงดัง ขึ้นเรื่อยๆ
โรคหูเสื่อมแบ่งเป็น
- โรคหูหนวก หรือหูบอดสนิท
- สาเหตุ : แก้วหูทะลุและหูอักเสบที่รุนแรง หูหนวกแต่กำเนิด พิษจากยา (สเตรปโตไมซิน, คาน่าไมซิน, เจนตาไมซิน) โรคคางทูม ไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์ รูปแบบการดำเนินชีวิต เช่น การดำน้ำ
- อาการ : ไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆ เลย ต้องอาศัยเครื่องช่วยฟัง หรือผ่าตัด เป็นใบ้ ถ้าหากเกิดขึ้นก่อนสองขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กกำลังพัฒนาการพูด
- โรคหูตึง แบ่งเป็น
- หูตึงแบบไม่มีเสียงในหู
- หูตึงแบบมีเสียงในหู (หูอึง) คือ มีเสียงหวีดก้องในหู โดยหาที่มาของเสียงไม่ได้ มักมี เสียงดัง อยู่ตลอดเวลา และมีเสียงดังมากขึ้น เมื่อต้องอยู่ในสถานที่เงียบสงัด เช่น ในห้องนอน- สาเหตุ : กรรมพันธุ์ เยื่อหูชั้นในฉีกขาด และเซลล์รับเสียงถูกกระทบกระเทือน ไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- อาการ : ความสามารถในการได้ยินลดลงเรื่อยๆ จนต้องฟัง เสียงดัง มากขึ้น อาจมีอาการร่วม เช่น เวียนหัว มึนงง รู้สึกบ้านหมุน
เสียงดัง ทำให้หูเสื่อมได้ทั้งหูหนวก และหูตึง ใน 2 ลักษณะ คือ หูเสื่อมแบบเฉียบพลัน หลังจากฟังเสียงดังมากๆ แค่ไม่กี่นาที เนื่องจากเยื่อหูชั้นในฉีกขาด เสียน้ำในหูและเซลล์รับเสียงไม่สามารถทำงาน ซึ่งหากแผลไม่ใหญ่เกินไป เนื้อเยื่อกลับมาประสานกันหรือน้ำในหูคืนสู่สภาพเดิม ความสามารถในการได้ยินอาจกลับคืนมาเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าเนื้อเยื่อฉีกขาดมากจนไม่สามารถประสานกันได้จะทำให้หูหนวกถาวร หูเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป เกิดจากฟังเสียงดังเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่ต่อเนื่องครั้งละหลายชั่วโมงก็ตาม
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าหูเริ่มเสื่อมได้แก่ ปวดหูเวลาได้ยิน เสียงดัง ทั้งๆ ที่เสียงนั้นอาจไม่ดังมากเกินไป ปวดหูมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับความดังของเสียง ทนฟังเสียงรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์วิ่งผ่านไม่ได้ เพราะเกิดอาการปวดหู บาดหู บางครั้งอาจรู้สึกปวดร้าวไปถึงสมอง หรือไม่สามารถแยกแยะคำพูดของคู่สนทนาได้ เป็นต้น
MP3 Player : ความสุขราคาแพงของหู
เมื่อฟังเพลงจากเครื่องเล่น MP3 คุณอาจรู้สึกว่าเสียงไม่ดังเท่าไหร่ แต่ถ้าวัดอย่างจริงจังจะพบว่าบางคนฟังเพลงดังมากกว่า 100 เดซิเบลเอ ทำให้หูเสื่อมเช่นเดียวกับการได้ยินเสียงดังรูปแบบอื่นๆ วิธีสังเกตว่าเครื่องเล่นเพลง MP3 ดังเกินไปหรือไม่ดูได้จาก
- คุณเซ็ตความดังเสียงเครื่องเล่นไว้เกินกว่า 60% ของระดับเสียงสูงสุดหรือไม่
- เมื่อฟังเพลงจากเครื่องเล่น MP3 ยังสามารถได้ยินเสียงจากสิ่งรอบตัวหรือไม่
- คนอื่นๆ ได้ยินเสียงจากเครื่องเล่น MP3 ของคุณหรือไม่
- เมื่อฟังเครื่องเล่น MP3 คุณต้องตะโกนคุยกับคนอื่นหรือไม่
- หลังจากฟังเครื่องเล่น MP3 คุณมีอาการหูอื้อหรือไม่
หากมีพฤติกรรมต่างๆ ข้างต้นแสดงว่าคุณฟังเพลงเสียงดังเกินไป ควรปรับระดับเสียงให้ต่ำลงและลดระยะเวลาฟัง MP3 ลง
ปัญหาที่มากับ เสียงดัง
- การได้ยิน คือสูญเสียการได้ยิน หูอื้อ หูหนวก หรือหูอึง
- ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว มือเท้าเย็น ระบบไหลเวียนโลหิตบกพร่อง จนอาจนำไปสู่โรคหัวใจ และปอดแตกฉับพลัน
- สุขภาพจิต รบกวนการทำงาน การพักผ่อน ทำให้เกิดความเครียด หรือการตื่นตระหนก และอาจพัฒนาไปสู่อาการซึมเศร้า และโรคจิตประสาท
- สมาธิ ความคิด และการเรียนรู้ ทำให้ขาดสมาธิ ประสิทธิภาพการคิดค้น การวิเคราะห์ข้อมูล การเรียนรู้และการรับฟังข้อมูลลดลง
- ลดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน รบกวนระบบและความต่อเนื่องของการทำงาน ทำให้ทำงานล่าช้า คุณภาพและปริมาณงานลดลง
- การติดต่อสื่อสาร ขัดขวางการได้ยิน ทำให้การสื่อสารบกพร่อง ต้องตะโกนคุยกัน ได้ยินเพี้ยน ในเด็กเล็กทำให้พัฒนาการด้านการฟัง การพูด และการออกเสียงเพี้ยนไป
- กระตุ้นพฤติกรรมก้าวร้าว เสียงดัง จะเร้าอารมณ์ให้สร้างความรุนแรง และอาจถึงขั้น “สูญเสียการควบคุมตนเอง” จนทำร้ายผู้อื่นได้ แม้ได้ยินเสียงดังเพียงเล็กน้อย
ป้องกันมลพิษทางเสียง : เรื่องนี้คุณช่วยได้
- รู้จักความพอดีและมีกาลเทศะ เช่น ไม่พูดโทรศัพท์หรือส่งเสียงดังรบกวนความสงบของผู้อื่นทั้งในบ้านและที่สาธารณะ
- หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีเสียงดัง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรออกจากสถานที่แห่งนั้นให้เร็วที่สุด
- ใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงดัง ทุกครั้งที่ต้องอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดัง
- ไม่ฟังเพลงหรือเปิดโทรทัศน์ดังเกินไป
- ใช้หูฟังแบบครอบหูแทนหูฟังแบบเสียบในหู
- ตรวจความสามารถการได้ยินเป็นประจำทุกปี
- สังเกตเสียงต่างๆ รอบตัว หากไม่สามารถพูดคุยด้วยระดับเสียงปกติในระยะห่าง 1 ช่วงแขนแสดงว่าเสียงที่นั้นดังเกินไป
- ช่วยกันดูแลสถานที่ทำงานและสถานที่สาธารณะ ให้ควบคุมเสียงไม่ให้ดังเกินไป
- ร้องเรียนเหตุเสียงดัง โทร.1555 (กรุงเทพมหานคร) หรือกรมควบคุมมลพิษ โทร. 1650