ถือเป็นผลไม้พื้นเมืองที่มักจะปลูกในประเทศแถบทะเลคาริเบียนไล่ไปจนถึงเม็กซิโก ปานามา และโคลัมเบีย
มะละกอ
• ถือเป็นผลไม้พื้นเมืองที่มักจะปลูกในประเทศแถบทะเลคาริเบียนไล่ไปจนถึงเม็กซิโก ปานามา และโคลัมเบีย
• ได้มีผู้ทำการสันนิษฐานว่า มะละกอถูกนำเข้ามาปลูกในไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยฝรั่งสัญชาติหนึ่ง ซึ่งคนไทยได้ให้การต้อนรับมะละกออย่างดีจนกลายมาเป็นผลไม้ยอดนิยมปลูกได้ทุกถิ่นของไทย
• โดยส่วนมากมะละกอดิบ มักจะถูกเลือกนำไปทำเป็นส้มตำและแกงส้ม ในบางครั้งก็ถูกนำไปดองเค็ม แล้วทำให้แห้งกลายเป็นของกินเล่น ซึ่งถือเป็นอันตรายต่อไตของผู้นิยมบริโภคเป็นประจำ
• ในส่วนของมะละกอสุก ถือเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยม อีกทั้งถูกนำมาทำเป็นผลไม้กระป๋องที่ติดฉลากว่า ผลไม้รวม ซึ่งมีแค่มะละกอกึ่งสุก สับปะรดออกเปรี้ยว และองุ่นไทยผสมกันในน้ำเชื่อม
ข้อมูลน่ารู้ของมะละกอสุก
• มีสรรพคุณที่ถือเป็นยาระบาย
• ได้มีการพิสูจน์ความจริงในสมัยเรียนระดับปริญญาตรี เนื่องจาก มักจะเกิดอาการเป็นหวัดบ่อยครั้ง จึงไปขอยาจากหน่วยอนามัยของมหาวิทยาลัยและได้ยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบ
• ซึ่งในทุกครั้งที่กินเข้าไป มักจะเกิดอาการท้องผูก สาเหตุมาจาก ยาได้เข้าไปทำลายสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ จึงได้ตัดสินใจแจ้งแก่แพทย์ผู้จ่ายยา ก็ได้รับคำแนะนำดังต่อไปนี้
• แพทย์ผู้จ่ายยาแนะนำให้กินมะละกอสุก เมื่อเรียนสูงขึ้นจึงได้ทราบว่า เนื้อมะละกอนั้นอุดมไปด้วยใยอาหาร ซึ่งถือเป็นอาหาร (พรีไบโอติก) ของแบคทีเรียกลุ่มแลคโตแบซิลัส (โปรไบโอติก)
• เมื่อแบคทีเรียกลุ่มนี้ได้มีการเจริญเติบโตมากขึ้นก็จะเข้าควบคุมสถานการณ์ทำให้ระบบขับถ่ายเข้าสู่ความเป็นปกติในที่สุด
มีงานวิจัยมากมายหลายชิ้นได้ค้นพบว่า
• มะละกอสุก เป็นอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งหลายอวัยวะในร่างกาย
• เนื่องมาจาก เป็นผลไม้ที่อุดมไปทั้งพฤกษเคมีต่างๆ
• อาทิเช่น สารฟลาโวนอยด์ วิตามินต่างๆ รวมไปถึงมีเบต้าแคโรตีนเป็นตัวที่สำคัญ
• อีกทั้งยังอุดมไปด้วยโฟเลต ไทอามีน (วิตามินบี 1) ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี 2) ไนอาซิน (วิตามินบี 3) กรดแพนโทเทนิก (วิตามินบี 5) วิตามินซี ฯลฯ
• อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญอาทิเช่น โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม
• สามารถสังเกตได้จากใครที่ชอบกินมะละกอสุก มักจะมีเหงือกสวย และมีความปลอดภัยจากโรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟันด้วยอิทธิพลของวิตามินซี อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวสวยมีผู้เขียนคนหนึ่งเคยได้รับทุนทำวิจัยเกี่ยวกับอาหารไทยต้านพิษของสารก่อกลายพันธุ์ (ซึ่งมีความสามารถในการแปลผลถึงการต้านมะเร็ง) จากสภาวิจัยแห่งชาติ ซึ่งอาหารจานที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจากผลการศึกษาพบว่า
• สามารถใช้ในการต้านสารพิษได้ดีในลำดับต้นๆ คือ ส้มตำ (สูตรที่ถูกนำมาใช้ศึกษาไม่มีการใส่ปูเค็ม เนื่องจากโดยส่วนมากปูมักมีเชื้อพยาธิ
• เมื่อทำการพิจารณาจากใยอาหารของมะละกอ พร้อมทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้ปรุงส้มตำแล้ว มันสามารถระบุได้ว่า ส้มตำถือเป็นองครักษ์พิทักษ์มะเร็ง
• ฉะนั้น จึงขอแนะนำให้ผู้ที่นิยมกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง อาทิเช่น อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน เนื้อสัตว์ต้มตุ๋นนาน และเนื้อหมักต่างๆ ให้กินอาหารนั้นๆ คู่ไปกับส้มตำด้วย
• ซึ่งผลที่ได้รับมาจากการตอบรับ ถือเป็นผลอย่างดีจากสาวๆ ที่กินส้มตำสัปดาห์ละ 7 วัน วันละ 3 มื้อ
• ในส่วนของผู้ที่กินมะละกอสุกเป็นของหวาน หลังมื้ออาหารมักจะได้รับภูมิต้านทานที่ดี ไม่ค่อยป่วยไข้
• เนื่องจากโรคติดเชื้อ เกิดจากร่างกายถูกเปลี่ยนเบตาแคโรทีนที่ได้จากมะละกอสุกเป็นวิตามินเอ อีกทั้งประกอบกับเนื้อมะละกอมีวิตามินซีสูง จึงถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการทำงานร่วมกันกับโปรตีนและธาตุสังกะสีจากเนื้อสัตว์ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
• วิตามินเอที่ถูกแปลงมาจากเบตาแคโรตีน มีความสามารถในการป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งมักจะทำให้ผู้กินมะละกอสุกประจำมีดวงตาที่สดใส
• ยางของมะละกอ ที่ได้มาจากผลดิบและลำต้น มักจะถูกนำไปใช้หมักเนื้อสัตว์ที่เหนียวมากให้เหนียวน้อยลง หรือ ในบางครั้งผู้สูงอายุสามารถกัดได้นุ่มปาก เนื่องจาก ในยางมะละกอ มีเอนไซม์ชนิดหนึ่งชื่อว่า ปาเปน (Papain) มีส่วนช่วยในการย่อยโปรตีนบางส่วนในเนื้อสัตว์ก่อนที่จะถูกนำไปปรุงให้สุก
ฉะนั้น ผู้ที่กินมะละกอดิบในลักษณะส้มตำจึงได้รับยางนี้ไปด้วย ซึ่งเข้าไปช่วยในการย่อยเนื้อสัตว์ในทางเดินอาหาร
การที่คุณได้รับยางมะละกอที่อยู่ในมะละกอดิบเข้าปากนั้นก็ไม่ได้มีเพียงข้อดีเสมอไป เนื่องจากเนื้อยางน่าจะมีความเป็นพิษแฝงอยู่ โดยในพิษนั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะกับสาวที่กำลังตั้งท้อง
ที่มา: Healthtoday Thailand – รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ – นักพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ