ติดโควิดแล้วและมีอาการไม่สบายด้วย ควรกินยาอะไรดี ในกรณีที่รักษาตัวที่บ้านแบบ Home Isolation ที่ยังไม่ได้รับยา หรือรอไปตรวจโควิดแบบ RT-PCR
อย่างที่บอกว่าหากติดโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอน ส่วนใหญ่อาการจะไม่หนัก ซึ่งก็สามารถกินยารักษาตามอาการที่เป็นได้ เช่น
- ยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม สำหรับลดไข้ ปวดศีรษะ แก้ปวดเมื่อยร่างกาย โดยกินเมื่อมีอาการ ครั้งละ 1 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง
- ยาแก้ไอ ได้ทั้งแบบชนิดอมหรือยาน้ำแก้ไอ บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ ช่วยให้ชุ่มคอ
- ยาอมแก้เจ็บคอ หรือสเปรย์พ่นคอ เช่น ยาอมมะแว้ง ยาอมมะขามป้อม ยาอมรสมะนาวน้ำผึ้ง หรือยาอมที่มีส่วนผสมของสมุนไพรที่ทำให้เย็นคอ อย่างเมนทอล หรือยูคาลิปตัส หรืออาจใช้สเปรย์สำหรับช่องปากและลำคอ พ่นแก้อาการเจ็บคอก็ได้เหมือนกัน
- ยาละลายเสมหะ สามารถใช้ได้ทั้งแบบเม็ดฟู่และชนิดน้ำ
- ยาลดน้ำมูก หรือยาแก้แพ้ ซึ่งควรใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เภสัชกร และใช้ยาเท่าที่จำเป็นนะคะ
- ยาแก้ท้องเสีย เช่น ยาธาตุน้ำขาว หรือผงคาร์บอน
- เกลือแร่ ORS สำหรับทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป จากการถ่ายเหลวบ่อยครั้ง หรือในคนที่มีอาการท้องเสีย
- ยาฟ้าทะลายโจร สำหรับช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการเจ็บคอ อาการไอ และลดไข้ โดยควรกินวันละ 180 มิลลิกรัม แบ่งกิน 3 มื้อ ก่อนอาหาร และกินติดต่อกันไม่เกิน 5 วัน (ตรวจสอบปริมาณฟ้าทะลายโจรที่สามารถรับประทานได้ของแต่ละยี่ห้อได้ ที่นี่) อย่างไรก็ตาม กรณีเป็นเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคตับ โรคไต ผู้ป่วยที่กินยากันเลือดเป็นลิ่ม ยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด ยาลดความดันโลหิต ไม่ควรกินฟ้าทะลายโจร
ในผู้ป่วยเด็กที่ติดโควิด 19 หากกลืนยาเม็ดไม่สะดวก สามารถบรรเทาอาการไม่สบายได้ด้วยยาดังต่อไปนี้
- ยาแก้ไอ ละลายเสมหะ ชนิดน้ำ โดยอายุต่ำกว่า 5 ขวบ กิน 1 ช้อนชา 1-2 เวลา และอายุ 5 ขวบขึ้นไป กิน 1 ช้อนชา 3 เวลา
- ยาแก้อาเจียน ชนิดน้ำ กินตามน้ำหนักตัว คือ น้ำหนัก 10 กิโลกรัมขึ้นไป กิน 2.5 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง
- ยาลดอาการคัดจมูก Oxymetazoline เช่น iliadin 0.025 หยดในจมูกทั้ง 2 ข้าง ทุก ๆ 8 ชั่วโมง แต่ห้ามใช้ติดต่อกันเกิน 5 วัน
- ยาลดน้ำมูก ชนิดน้ำ โดยกินตามอายุ 2-6 ขวบ กิน 1/2 ช้อนชา 3 เวลา อายุ 6-12 ปี กิน 1 ช้อนชา 3 เวลา
- เกลือแร่ ORS ในกรณีที่เด็กถ่ายเหลว ท้องเสียบ่อยครั้ง และควรเปลี่ยนนมเป็นสูตรปราศจากแลคโตสด้วยค่ะ
- ยาลดไข้ ชนิดน้ำ กินตามน้ำหนักตัว หากหนัก 10 กิโลกรัมขึ้นไป ให้กินพาราเซตามอลชนิดน้ำขนาด 60 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 มิลลิลิตร ทุก ๆ 4-6 ชั่วโมง ไม่เกิน 5 ครั้งต่อวัน
สำหรับผู้ที่ติดโควิด 19 และเป็นกลุ่มเสี่ยง คือ มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เป็นโรคอ้วน หรือผู้สูงอายุ เมื่อไปโรงพยาบาล แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการ และจะพิจารณาความเสี่ยงต่าง ๆ โดยหากมีอาการรุนแรง หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรงหรือมีโรคร่วมสำคัญ แพทย์อาจเลือกให้ยาต้านไวรัส ตามแนวทางการรักษาผู้ป่วยของกระทรวงสาธารณสุข วันที่ 11 กรกฎาคม 2565 ดังนี้
- ยาฟาวิพิราเวียร์ : เป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่ออาการรุนแรง รับประทาน 5-10 วัน ขึ้นอยู่กับอาการ โดยต้องเริ่มยาให้เร็วที่สุดหลังติดเชื้อจึงจะได้ผลดี
- ยาเรมเดซิเวียร์ : ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีปอดอักเสบรุนแรง รวมทั้งผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่ 1 ข้อขึ้นไป และไม่สามารถใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้ เช่น ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น
- ยาเนอร์มาเทรลเวียร์/ริโทนาเวียร์ หรือ Paxlovid : เป็นยาเม็ดรักษาโควิด 19 จากบริษัทไฟเซอร์ อาจพิจารณานำมาใช้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโควิด 19 รุนแรง ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป แต่ห้ามใช้กับหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตร
- ยาโมลนูพิราเวียร์ : เป็นยาที่มีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสโคโรนา อาจพิจารณานำมาใช้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโควิด 19 รุนแรง เช่น ผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรัง หรือเป็นผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือฉีดวัคซีนน้อยกว่า 3 เข็ม แต่ห้ามใช้กับหญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร
- คอร์ติโคสเตียรอยด์ : เป็นยาลดอาการอักเสบในกลุ่มสเตียรอยด์ ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก คือ ค่าออกซิเจนไม่เกิน 94% หรือมีปอดอักเสบรุนแรง
ปัจจัยเสี่ยงต่ออาการรุนแรง ได้แก่
1. อายุมากกว่า 60 ปี
2. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) รวมโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ
3. โรคไตเรื้อรัง (stage 3 ขึ้นไป)
4. โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมโรคหัวใจแต่กําเนิด
5. โรคหลอดเลือดสมอง
6. เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
7. ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก. หรือ BMI ≥30 กก./ตร.ม.)
8. ตับแข็ง
9. ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เป็นโรคที่อยู่ในระหว่างได้รับยาเคมีบําบัด หรือยากดภูมิ หรือ Corticosteroid Equivalent to Prednisolone 15 มก./วัน 15 วันขึ้นไป
10. ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มี CD4 cell count น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
คนที่รักษาตัวที่บ้านอาจสงสัยว่า ทำไมไม่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ นั่นก็เพราะคนที่ Home Isolation ส่วนใหญ่มีอาการไม่หนักและสามารถรักษาให้หายได้เอง ดังนั้น หากไม่มีความเสี่ยงจะมีอาการรุนแรง ไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้ป่วยสีเหลืองหรือแดงที่มีแววอาการหนัก ก็จะไม่ได้รับยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์นะคะ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงกับผู้ป่วย เช่น มีอาการตับอักเสบ หรือเกิดเชื้อดื้อยาได้ในภายหลัง
เนื่องจากฟาวิพิราเวียร์เป็นยาที่มีผลข้างเคียงที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ จึงมีข้อควรระวังในการรับประทาน ดังนี้
- ไม่ซื้อยาฟาวิพิราเวียร์กินเอง เพราะอาจเป็นของปลอม เนื่องจากยาชนิดนี้ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ไม่มีวางจำหน่ายทั่วไป
- ไม่ควรกินยาฟาวิพิราเวียร์โดยไม่มีคำสั่งจากแพทย์ เพราะอาจดื้อยา และหากตั้งครรภ์อาจมีผลต่อทารกในครรภ์ได้
- ห้ามกินยาฟาวิพิราเวียร์ร่วมกับฟ้าทะลายโจร เพราะยังไม่มีข้อมูลการใช้ยาฟ้าทะลายโจรร่วมกับยาต้านไวรัสชนิดอื่น และอาจเพิ่มโอกาสในการเป็นพิษต่อตับ