กรณีไม่ถือว่าถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง (1)
นางทัศนีย์ เพ็ชรช่วย ที่ 1 นางละออง เพ็ชรช่วย ที่ 2 โจทก์
พันตำรวจโทเพิ่ม เพ็ชรช่วย ที่ 3 ห้างหุ้นส่วนจำกัดอุดมรัตน์นคร ที่ 4
กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ที่ 1 จำเลย
สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ 2
ประเด็นข้อพิพาท 1. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
2. โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองหรือไม่
3. โจทก์ฟ้องเกินกว่า 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนหรือไม่
4. มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนหรือไม่ (ระหว่างการ พิจารณาโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 4 ขอถอนฟ้องศาลอนุญาต)
นายอุทธรณ์ เพ็ชรช่วย ผู้ตาย เป็นลูกจ้างของโจทก์ที่ 4 มานายประมาณ 20 ปี ได้รับเงินเดือนสุดท้ายเดือนละ 7,000 บาท โจทก์ที่ 1 ที่ 2 เป็นภริยาจดทะเบียนสมรสกับผู้ตายถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ที่ 3 เป็นบิดาของผู้ตาย ต่อมาวันที่ 9 พฤศจิกายน 2538 ขณะที่ผู้ตายขับรถยนต์ไปส่งคนงานในกิจการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายที่บ้านจังหุน ตำบลท่าเรือ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
ศาลแรงงานกลางพิเคราะห์ประเด็นแรกเห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายวกวนไปมาอยู่บ้างแต่อ่านโดยรวมได้ใจความว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการทำงานให้กับนายจ้างแต่เจ้าหน้าที่กองทุนเงินทดแทนและคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนวินิจฉัยว่ามิใช่เนื่องจากการทำงาน โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการตายอันเนื่องจากการทำงาน ซึ่งพออนุโลมได้ว่าเป็นการขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน และขอให้จ่ายเงินแก่โจทก์ตามหลักเกณฑ์ของกองทุนเงินทดแทน ถือได้ว่า เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้อบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อกล่าวหาแล้ว ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีวินิจฉัยพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ประเด็นที่สอง โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่าแม้สำนักงานกองทุนเงินทดแทนจะมีฐานะเป็นกองทุนอยู่ในสำนักงานประกันสังคมซึ่งมีระดับเป็นกรม แต่การปฏิบัติงานเบื้องต้นก็ใช้ข้าราชการในสำนักงานประกันสังคมจังหวัดทำหน้าที่ในด้านเกี่ยวกับการรับเงินจากกองทุนเงินทดแทน การที่โจทก์ฟ้องสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจำเลยที่ 2 ก็เพราะเป็นผู้วินิจฉัยสั่งการเกี่ยวกับกองทุนเงินทดแทนที่โจทก์ยื่นคำขอเป็นการฟ้องเพื่อมุ่งเน้นถึงสำนักงานประกันสังคมนั้นเอง ส่วนจำเลยที่ 1 นั้นเป็นกระทรวงซึ่งสำนักงานประกันสังคมสังกัดอยู่ ย่อมมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลส่วนราชการในสังกัดได้ เมื่อส่วนราชการภายใต้สังกัดปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องตามที่กล่าวอ้าง จำเลยที่ 1 ก็อาจถูกฟ้องเป็นจำเลยได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง
ประเด็นที่สาม โจทก์ฟ้องเกินกว่า 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนหรือไม่ หนังสือแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2540 ปรากฏตามหลักฐานบัญชีควบคุมการนำจ่ายไปรษณียภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2540 โจทก์จึงฟ้องคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 53
ประเด็นที่สี่ มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนหรือไม่ กรณีฟังได้แต่เพียงว่าในวันเกิดเหตุผู้ตายเลิกงานปกติและออกจากที่ทำงานเวลาประมาณ 18.00 นาฬิกา เพื่อไปส่งคนงานที่บ้านจังหุน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 45 นาที แต่ประกฎว่าผู้ตายประสบอันตรายถึงแก่ความตายในเวลา 21 นาฬิกาเศษ ห่างจากจุดที่ส่งคนงานประมาณ 10 กิโลเมตรเท่านั้น ชี้แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เวลาทำงานของผู้ตาย ดังนั้น การประสบอันตรายถึงแก่ความตายของผู้ตายมิได้เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงาน มติคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2540 ชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะให้เพิกถอน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ที่สองและที่สามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า ที่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์ของให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในเรื่องผู้ตายทำงานให้ นายจ้างเป็นเวลาเกือบ 20 ปี โดยผู้ตายทำงานล่วงเวลาเป็นอาจิณเพื่อใช้วินิจฉัยว่าผู้ตายถึงแก่ความตายในช่วงการทำงานให้นายจ้างหรือไม่นั้น เป็นอุทธรณ์ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 และ ที่ 3
คำพิพากษาฎีกาที่ 6903/2541