การโต้แย้ง ด้วยการวินิจฉัยถือเป็นการใช้ภาษาเพื่อแสดงออกทางความคิดได้อย่างเหมาะสม
โต้แย้งอย่างมีปัญญา สะท้อนบุคลิกสง่างาม
ภาพจาก : https://primus.co.th
นักฉวยโอกาส
อีกไม่กี่วันจะครบรอบ ๔ ปีการก่อรัฐประหารที่ คปค.นำกำลังทหารออกมายึดอำนาจ
รัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
ทางกลุ่มของคุณทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกกลุ่มเสื้อแดง ส.ส.พรรคเพื่อไทย หรือ
แนวร่วมต่าง ๆ ที่ไม่เอารัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เตรียมจัดกิจกรรม เพื่อกล่าวโทษว่า
เกิดความล้มเหลวตลอด ๔ ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะการทำให้บ้านเมืองเกิดความแตกแยก
แต่ในข้อเท็จจริงคนที่กล่าวหาและคนที่ถูกกล่าวหา ล้วนแต่เป็นผู้ที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยก
หากพิจารณาอย่างแยบคาย ความแตกแยกไม่ได้เกิดจากประชาชนทะเลาะกัน แต่มีมูลเหตุมาจาก
ลิ่วล้อของทั้ง ๒ ฝ่ายจัดมวลชนมาตีรันฟันแทงเพื่อแย่งอำนาจไปทูนหัวให้ลูกพี่
ที่มา : ดินสอโดม คอลัมน์ ฅนความคิด : นักฉวยโอกาส : เดลินิวส์ออนไลน์
วันศุกร์ ที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๓ เวลา ๙:๓๓
จากคอลัมน์ ฅนความคิด เรื่องนักฉวยโอกาส ของคุณดินสอโดม จะเห็นวิธีการใช้ภาษา
ที่สะท้อนมุมมอง แนวคิด ระดับการเขียน เพื่อให้ข้อมูล และการโต้แย้ง ด้วยการวินิจฉัย
ถือเป็นการใช้ภาษาเพื่อแสดงออกทางความคิดได้อย่างเหมาะสม
ประเด็นการศึกษา การใช้ภาษาแสดงออกทางความคิด เรื่องการใช้ภาษาเพื่อโต้แย้ง
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔-๖
การโต้แย้ง
ความหมายของการโต้แย้ง
การโต้แย้ง คือ การแสดงทรรศนะที่แตกต่างกันระหว่างบุคคล ๒ ฝ่าย
โดยแต่ละฝ่ายพยายามใช้ข้อมูล สถิติ หลักการ เหตุผล รวมทั้งการอ้างถึงทรรศนะของผู้รู้
เพื่อสนับสนุนทรรศนะของตน และคัดค้านทรรศนะของอีกฝ่ายหนึ่ง
ภาพจาก : https://www.innnews.co.th
โครงสร้างของการโต้แย้ง
กระบวนการโต้แย้งต้องอาศัยเหตุผลเป็นสำคัญ โครงสร้างของการโต้แย้งคือ
โครงสร้างของการแสดงเหตุผล ซึ่งประกอบด้วยเหตุผลและข้อสรุปนั่นเอง
ทรรศนะที่ ๑
l
l
l
ข้อสนับสนุน ----------------- ข้อสรุป
ตัวอย่าง
โดยที่นักเรียนระดับมัธยมตอนปลายของโรงเรียนนี้ส่วนใหญ่ต้องการออกไป
ประกอบอาชีพ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว (เหตุผล)
ดังนั้น โรงเรียนของเราจึงควรเปิดรายวิชาเลือก วิชาพื้นฐานอาชีพเท่าที่มีอยู่
ในหลักสูตรให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (ข้อสรุป, ข้อเสนอแนะ)
ภาพจาก : https://1.bp.blogspot.com
ทรรศนะที่ ๒
l
l
l
ข้อสนับสนุน -------------------------- ข้อสรุป
เรายังไม่ได้สำรวจอย่างเป็นกิจลักษณะเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว
นักเรียนของเราในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมุ่งหมายที่จะไปทำอะไรต่อไป จะมีก็เพียงแต่
การคาดคะเนเอาเองตามความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น (เหตุผล)
ฉะนั้นเราอาจประสบความล้มเหลวก็ได้ ถ้าเรามุ่งที่จะเปิดวิชาพื้นฐานอาชีพให้มากยิ่งขึ้น
กว่าที่ได้เคยเปิดมาแล้ว (ข้อสรุป, ข้อโต้แย้งทรรศนะที่ ๑)
ประเด็นของการโต้แย้งคือ จริงหรือที่ว่านักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนแห่งนี้
ต้องการออกไปประกอบอาชีพเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ตัวอย่างที่ยกมาจะเห็นว่า ทรรศนะที่ ๑
สนับสนุนประเด็นนี้ว่าเป็นจริง ทรรศนะที่ ๒ ไม่เชื่อว่าประเด็นนี้จะเป็นจริง แต่ละฝ่ายจึงต้อง
หาเหตุผลมาพิสูจน์กันจนเป็นที่ยอมรับ การคัดค้านข้อโต้แย้ง ปกติผู้ค้านจะคัดค้านเหตุผล
หรือข้อสนับสนุนเป็นสำคัญ เมื่อค้านสำเร็จก็เท่ากับเป็นการหักล้างข้อเสนอหรือข้อสนับสนุน
ของอีกฝ่ายหนึ่งได้
ภาพจาก : https://media.thaigov.go.th
หัวข้อและเนื้อหาของการโต้แย้ง
การโต้แย้งแต่ละครั้ง ต้องกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่าจะโต้แย้งในหัวข้อใด
และมีประเด็นใดบ้างที่จะนำมาพิจารณา เพื่อให้การโต้แย้งนั้นอยู่ในขอบเขตและตรงประเด็น
ถ้าโต้แย้งกันนอกหัวข้อหรือนอกประเด็นจะหาจุดจบไม่ได้ และจะกลายเป็นการโต้เถียงในที่สุด
ตัวอย่าง
หัวข้อในการโต้แย้ง – การปลูกต้นไม้ในโรงเรียน
ประเด็นในการโต้แย้ง – ควรปลูกไม้ยืนต้น ไม้สวยงาม หรือ ไม้ให้ร่มเงา
กระบวนการโต้แย้ง
กระบวนการโต้แย้ง แบ่งได้เป็น ๔ ขั้น คือ
๑. การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง
๒. การนิยามคำหรือกลุ่มคำสำคัญที่อยู่ในประเด็นของการโต้แย้ง
๓. การค้นหาและเรียบเรียงข้อสนับสนุนทรรศนะของตน
๔. การชี้ให้เห็นจุดอ่อนและความผิดพลาดของทรรศนะของฝ่ายตรงข้าม
๑. การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง ประเด็นในการโต้แย้ง หมายถึง คำถามที่ก่อให้เกิดการ
โต้แย้งกัน ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญของการโต้แย้ง เนื่องจากการโต้แย้งของมนุษย์เกิดจากการ
แสดงทรรศนะที่ไม่ตรงกัน ดังนั้น การตั้งประเด็นการโต้แย้ง จะต้องรู้ว่าโต้แย้งกันเกี่ยวกับ
ทรรศนะประเภทใด แล้วตั้งประเด็นให้อยู่ในเรื่องที่กำลังโต้แย้งกัน ซึ่งอาจแบ่งได้ ๓ ประเภท คือ
๑.๑ การโต้แย้งเกี่ยวกับนโยบายหรือข้อเสนอเพื่อให้เปลี่ยนแปลงสภาพเดิม
การโต้แย้งประเภทนี้เริ่มจากมีผู้เสนอทรรศนะของตน เพื่อให้บุคคลอื่นพิจารณา
ยอมรับ ผู้เสนอทรรศนะก็จะหาเหตุผลมาสนับสนุนข้อเสนอของตน ชี้ให้เห็นว่าหลักการเดิมนั้น
มีจุดอ่อน จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง แล้วเสนอหลักการใหม่ที่จะแก้ไขจุดอ่อนนั้นได้ และ
ชี้ให้เห็นผลดีที่ได้รับจากหลักการใหม่นั้น
การโต้แย้งเกี่ยวกับนโยบายหรือข้อเสนอเพื่อให้เปลี่ยนแปลงสถาพเดิมมีประเด็น คือ
ประเด็นที่ ๑ สภาพเดิมที่เป็นอยู่นั้น มีข้อบกพร่องหรือไม่ อย่างไร
ประเด็นที่ ๒ ข้อเสนอเพื่อการเปลี่ยนแปลงจะแก้ไขข้อบกพร่องได้หรือไม่ เพียงใด
ประเด็นที่ ๓ ผลดีที่เกิดจากข้อเสนอนั้นมีอย่างไร เพียงใด
๑.๒ การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเท็จจริง
การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเท็จจริง มีประเด็นสำคัญคือ
ประเด็นที่ ๑ ข้อเท็จจริงที่อ้างอิง มีหรือเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ อยู่ที่ไหน
ประเด็นที่ ๒ การตรวจสอบสิ่งที่อ้างถึงนั้นทำได้หรือไม่ ด้วยวิธีใด
๑.๓ การโต้แย้งเกี่ยวกับคุณค่า
การโต้แย้งประเภทนี้จะมีความรู้สึกส่วนตัวแทรกอยู่ด้วย
ภาพจาก : https://www.ki.ac.th
๒. การนิยามคำหรือกลุ่มคำสำคัญที่อยู่ในประเด็นของการโต้แย้ง
การนิยามคำหรือกลุ่มคำสำคัญ หมายถึง การกำหนดความหมายของคำหรือกลุ่มคำ
สำคัญที่ใช้ในการโต้แย้งให้ชัดเจน เข้าใจตรงกัน ไม่ให้สับสน
การนิยามคำหรือกลุ่มคำสำคัญทำได้หลายวิธี เช่น อาศัยพจนานุกรมหรือสารานุกรม
คำอธิบายของผู้รู้ การเปรียบเทียบด้วยวิธีการยกตัวอย่าง
๓. การค้นหาและเรียบเรียงข้อสนับสนุนทรรศนะของตน
ทรรศนะนั้นจะน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับข้อสนับสนุน ซึ่งมาจากหลักฐาน
สถิติ ข้อเท็จจริงต่างๆ การเรียบเรียงข้อสนับสนุนทรรศนะจึงมีข้อควรคำนึงถึง คือ การเรียบเรียง
ข้อสนับสนุนจะต้องทำให้ผู้ฟังเข้าใจทรรศนะของเราชัดเจน และดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง
ในการเรียบเรียงจะต้องมีอารัมภบทที่น่าสนใจ ชวนให้ติดตามการแสดงทรรศนะนั้น
เสนอสาระสำคัญของทรรศนะได้เป็นลำดับขั้นตอน ชี้ให้เห็นประเด็นชัดเจน แสดงข้อสนับสนุน
ที่หนักแน่นมีการอ้างที่มาของข้อมูลตามความเป็นจริง ทั้งควรมีการสรุปสาระสำคัญของทรรศนะ
ที่เสนอให้กะทัดรัด ชัดเจน
๔. การชี้ให้เห็นจุดอ่อนและความผิดพลาดของทรรศนะของฝ่ายตรงกันข้าม
การโต้แย้งจะต้องชี้ให้เห็นจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม คือ
๔.๑ จุดอ่อนในการนิยามคำสำคัญ
นิยามที่ดีจะต้องชัดเจน รัดกุม
นิยามที่ไม่ดี มีลักษณะดังนี้
๑) นิยามวกวน ไม่ชัดเจน ฟังแล้วไม่เข้าใจ
๒) นิยามที่ใช้ถ้อยคำยาก จึงไม่สื่อความหมาย
๓) นิยามโดยอคติ มุ่งแต่ประโยชน์ฝ่ายตน และอาจบิดเบือนความหมาย
ผู้โต้แย้งจะต้องชี้ให้เห็นว่าทรรศนะนั้นมีข้อมูลน้อยเกินไป มีข้อมูลที่ผิดพลาด
ทำให้ทรรศนะนั้นไม่น่าเชื่อถือ
๔.๒ จุดอ่อนในด้านปริมาณและความถูกต้องของข้อมูล
ผู้โต้แย้งจะต้องชี้ให้เห็นว่าทรรศนะนั้นมีข้อมูลน้อยเกินไป มีข้อมูลที่ผิดพลาด
ทำให้ทรรศนะนั้นไม่น่าเชื่อถือ
๔.๓ จุดอ่อนในด้านสมมติฐานและวิธีการอนุมาน
ถ้าชี้ให้เห็นว่าสมมติฐาน มีจุดอ่อน ไม่ควรค่าแก่การยอมรับ วิธีการอนุมานผิดพลาด
ก็จะทำให้ทรรศนะนั้นมีน้ำหนักน้อย ไม่น่าเชื่อถือ
ภาพจาก : https://planet.kapook.com
การวินิจฉัยเพื่อตัดสินข้อโต้แย้ง
การวินิจฉัยตัดสินว่าทรรศนะของฝ่ายใดควรจะเป็นที่ยอมรับหรือไม่นั้น
อาจทำได้ ๒ แบบคือ
๑. พิจารณาเฉพาะเนื้อหาสาระที่แต่ละฝ่ายได้นำมาโต้แย้งกัน ผู้วินิจฉัยจะไม่นำความรู้
และประสบการณ์ของตนเข้ามาใช้เลย การตัดสินตามแนวนี้มักใช้การโต้วาที การตัดสินของผู้
พิพากษาในคดีความ
๒. วินิจฉัยโดยใช้ดุลยพินิจของตนพร้อมกับพิจารณาคำโต้แย้งของทั้งสองฝ่าย
โดยละเอียด การพิจารณาด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่บุคคลทั่วไปใช้อยู่แล้วเป็นปกติ เช่น การตัดสินใจ
เพื่อลงมติในที่ประชุมหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายโต้แย้งกัน ผู้ตัดสินย่อมใช้ดุลยพินิจของตน
โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ ที่มีอยู่แล้วมาเป็นเครื่องช่วยตัดสิน มิใช่ตัดสินจากเนื้อหาของแต่ละฝ่ายเท่านั้น
ภาพจาก : https://static.truelife.com
ข้อควรระวังในการโต้แย้ง
๑. ผู้โต้แย้งควรหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ พยายามทำใจให้เป็นกลาง พิจารณาที่เหตุผลเป็น
สำคัญการแพ้ชนะกันก็ด้วยเหตุผล
๒. ผู้โต้แย้งควรมีมารยาทในการใช้ภาษา ทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา ในระหว่าง
ที่โต้แย้งกับบุคคลอื่น การใช้ภาษาต้องให้เหมาะสมแก่ระดับของบุคคลเหมาะแก่สถานที่
รวมทั้งเหมาะแก่เนื้อหาที่นำมาโต้แย้งกัน
๓. ผู้โต้แย้งควรรู้จักเลือกประเด็นที่จะโต้แย้งกันอย่างสร้างสรรค์ ไม่เลือกประเด็น
โต้แย้งที่จะทำให้เกิดความกระทบกระเทือนแก่ผู้อื่น อาจเป็นบุคคลหรือเป็นสิ่งที่บุคคล
จำนวนมากเคารพนับถือ ซึ่งอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดความแตกแยก ความเข้าใจผิด
ลุกลามต่อไปได้
สรุป การใช้ภาษาเพื่อโต้แย้ง
โครงสร้างของการโต้แย้ง กระบวนการโต้แย้ง การวินิจฉัย เพื่อตัดสินจ้อโต้แย้ง
จึงควรระวังในการโต้แย้ง
การโต้แย้ง คือ การแสดงทรรศนะที่แตกต่างกันระหว่างบุคคล ๒ ฝ่าย
กระบวนการโต้แย้ง มี ๔ จำนวน คือ
การตั้งประเด็น
การนิยามคำหรือกลุ่มคำ
ข้อสนับสนุนทรรศนะของตน
ชี้จุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม
ข้อควรระวังการโต้แย้ง คือ การใช้อารมณ์ มีมารยาท เลือกประเด็นสร้างสรรค์
ตัวอย่างคำถาม
๑. การโต้แย้ง คือ
๒. ประเด็นในการโต้แย้ง หมายถึง
๓. ข้อควรระวังในการโต้แย้ง ได้แก่
ความคิดสร้างสรรค์แบ่งปันหลังเรียน
๑. การใช้ภาษาในการโต้แย้ง อย่างมีเหตุผล เป็นผู้ดีต่อผู้พูดหรือผู้เขียนอย่างไร
๒. ให้เขียนเพื่อแสดงการใช้ภาษาในการโต้แย้ง คู่ละ ๑ เรื่อง ( ๒ คนต่อ ๑ เรื่อง)
กิจกรรมเสนอแนะ
๑. จัดแข่งขันโต้วาที โดยให้นักเรียนช่วยกันกำหนดยัติเพื่อส่งเสริมการใช้ภาษา
ในการโต้แย้ง
คุณลักษณะที่ปลูกฝัง
๑. ใฝ่เรียนรู้
๒. รักความเป็นไทย
กิจกรรมบูรณาการ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง การเขียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ เรื่อง คุณธรรมของการพูดและเขียน
ที่มา : เพลินพิศ สุพพัตกุล แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
ที่มา : เพลินพิศ สุพพัตกุล คู่มือการสอนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
ขอบคุณ : https://mc.ektra.ac.th , https://www2.srp.ac.th
ภาพจาก : https://www.dailynews.co.th
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=3172